2552-05-02

เพื่อน

แม้จะมีความรักผ่านมามากมาย แต่จะมีรักใดหนักแน่นไปกว่าความรักระหว่างเพื่อน เพื่อนที่กอดคอร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา


รอนรอนอ่อนล้าจึงลาลับ
จะครึ่งตื่นครึ่งหลับ ก็ต้องก้าว
มีความหวังพร่างฟ้าอยู่พริบพราว
ถอนหายใจยาวยาว แล้วก้าวเดิน



เหงื่อเหนียวเหนอะไปทั้งตัว แม้บรรยากาศรอบข้างจะเย็นลงเพราะใกล้ค่ำเหงื่อกลับไหลอับชุดฝึกเหมือนไม่มีวันหมด ขอบกางเกงในบาดหน้าขาจนเป็นแผลแสบเนื่องด้วยไม่ได้อาบน้ำมาสามวันแล้ว ปัญหา เจ็ดสิบสองชั่วโมงย่างเข้าสู่ค่ำคืนสุดท้าย แต่ระยะทางข้างหน้ากลับยังยาวไกลจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด มีเพียงรอยเท้าของเพื่อนข้างหน้าที่ทิ้งเป็นทางไว้ให้ตามๆ กันมา ต่างหมดสิ้นเรี่ยวแรง ไม่พูดจาอะไรต่อกันทั้งสิ้น เสียงที่ดังที่สุดเห็นจะเป็นเสียงลมหายใจรวยรินของกันและกัน




ช่วงเวลานั้น...เหนื่อย...จนบางทีก็ลืมไปว่า ความสนุกสนานในชีวิตเป็นอย่างไร มันเลือนหายไปเหมือนไดโนเสาร์สูญพันธุ์ นึกยังนึกไม่ค่อยออก


เมื่อผ่านมันมาถึงวันนี้ ภาพเหล่านั้นนึกขึ้นมาทีไร ก็อดยิ้มกับมันไม่ได้เสียทุกที


ณ บ้านโยธา ซึ่งมี ไอ้เบี้ยว ไอ้แก่ ไอ้นง คูโบ เป็นเจ้าบ้านกลายสภาพเป็นสถานที่ซ่องสุมประหนึ่งโรงน้ำชาแถบเยาวราช จะผิดแผกก็แต่ที่นี่มีแต่สายเลือดนายเรืออากาศ และแน่นอนสำหรับฟุตบอลแมทซ์สำคัญๆ อย่าง แมนยู-ลิเวอร์พูล ดูที่บ้านตัวใครตัวมันมีหรือจะสนุกเหมือนดูกับเพื่อน บรรยากาศของการหยามหยี่(เหยียดหยามประสาเพื่อน) ประชด กระทบกระแทกแดกดัน ผลัดกันรุกผลัดกันรับระหว่างแฟนหงส์กับแฟนผีมีหรือจะห้ามใจนักรบอย่างเราได้



ทว่าความเมามันของเรากลับไม่เป็นที่พิศวาสของบ้านใกล้เรือนเคียงเท่าใดนัก บ่อยครั้งที่สารวัตรทหารมาเยี่ยมเยือนถึงประตูบ้านและขอร้องแกมบังคับให้พวกเราเก็บอาการมากกว่านี้

เราก็พยายาม


แต่...ก็ได้แค่พยายาม ท้ายที่สุดเพียงสองเดือนให้หลังก็มีรายงานขอให้เจ้าบ้านทั้งสี่ย้ายไปหาที่อยู่ใหม่ small social center หรือโรงน้ำชาของเราก็ต้องปิดตัวเองไปโดยปริยาย แต่พวกเราต่างก็หาได้มุ่งมาดอาฆาตแค้นใครๆ ไม่ ได้แต่ยอมสลายกันไปแต่โดยดี รุ่นของเราเลยสูญเสียศูนย์รวมตัวยามค่ำคืนนับแต่นั้น


มีเพียงนัดเตะฟุตบอลทุกวันอังคารเย็น ณ สนามสรรพาวุธ ที่ยังอยู่ทุกวันนี้ ซึ่ งหลังจากฟาดแข้งกันอย่างเมามัน บ้างก็จะแยกเป็นกลุ่มเล็กๆ ไปหาอะไรกินต่อ บ้างที่ในสนามไม่ค่อยได้เลี้ยงลูก ก็กลับไปเลี้ยงที่บ้าน(แม่มันนั่งหน้ายักษ์รออยู่เรียบร้อยแล้ว) บ้างฝีเท้าไม่ค่อยดีไม่ค่อยได้เตะกับใครเขา ก็ต้องกลับไปฝึกฝีเท้าเตะลูกที่บ้าน เอ๊ย นี่ไม่มี


ก็บรรยากาศอย่างนี้แหละที่ผมรู้ว่าอบอุ่นนัก วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพื่อนบางคนก็จากไปเร็วเช่นกัน ในขณะที่วันนี้ไปงานแต่งงานเพื่อนคนนึง พรุ่งนี้แวะเยี่ยมหลานตัวเล็กๆ ของเพื่อนอีกคน อีกสองวันข่าวเครื่องบินตกงานศพเพื่อนอีกคน ชีวิต...ก็คงมีอยู่แค่นี้ หากมัวแต่รั้งรอก็คงไม่ได้ทำอะไร คิดได้อย่างนี้แล้ว...ยังจะอยู่เฉยๆ ได้อีกหรือ ไปหาเพื่อนดีกว่า คืนนี้ไม่เมา

แค่อยากกินข้าวกับมัน!!

Gang-11


ผมไม่ค่อยมีเพื่อนในวงเหล้ามากนัก ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะผมไม่ดื่มเหล้า...แต่อันที่จริงนั้นอาจไม่ใช่เหตุผล น่าจะเป็นเพราะผมเป็นตัวกินกับเสียมากกว่า เพราะผมก็กินได้เรื่อยๆ ไม่มีหยุดเหมือนพวกมันกินเหล้านั่นละ มันสั่งโซดาน้ำสอง ผมก็สั่งกับข้าวเพิ่มสองเหมือนกัน...หลังๆ พวกมันเลยไม่ค่อยมาชวนผมอีก ผมเลยต้องเป็นฝ่ายไปชวนมัน...ที่สุดพวกมันก็ตัดสินใจเลิกเหล้าไป

ตอนนี้ ผมเลยไม่มีเพื่อนกินเหล้าโดยปริยาย


สมัยนั้นเรากินเหล้ากันหนักมาก กินกันประเภทถึงไหนถึงกัน ไปไหนก็ไป กินมันทุกแห่ง ไปกันทุกที่เมากันทุกงานถึงขนาดตั้งชื่อแก็งค์แล้วไปทำหมวกมาใส่ให้ดูเป็นพวกเดียวกัน...ใครมาตี จะได้ตีถูกตัว แยกแยะได้ง่าย และตีได้ครบคน เจ็บเสมอภาคกันดี


วันที่เราไปรับหมวก เห็นตัวอักษร ELEVEN บนพื้นหมวกสีน้ำเงิน...สวยมาก

แต่เอ๊ะ! ทำไมตัวเลขข้างหมวกมันมี 001-012 หว่า นับไปนับมา 12 คน ...เหี้ยเอ๊ย!ใครตั้งชื่อ ELEVEN ว่ะ...


ไม่มีเสียงตอบ แต่ไอ้ล่ำออกสตาร์ทตัวปลิวไปแล้ว


เย็นนั้น บอดี้โกลพเลยได้ดีไซน์ใหม่ เป็นรูปยี่สิบสองตีนกลางหลังเสื้อยืดสวยหรู วางเลย์เอ้าท์ตัวอักษรง่ายๆ “From ELEVEN”


เมื่อก่อน ก่อนที่จะรวมกันได้สิบสองคน แก็งค์อีเลฟเว่นได้ชื่อว่าเป็นแก็งค์หล่อคัดเข้า(ที่ประชุมมาตัด คุณสมบัติข้อนี้ออกก็ตอนรับผมเข้าไป) แก็งค์ของเราจึงค่อนข้างเป็นที่กรี๊ดกร๊าดในหมู่สาวๆ ไปเที่ยวกันที่ไร เป็นต้องโดนรุมทึ้ง เกือบเอาตัวไม่รอดเสียทุกคราวไป...ซึ่งนั่นเราก็ภูมิใจกันมากอยู่


พออ่านทวน ถึงเห็นว่าเขียนตกไปนิดนึง แต่ไม่เป็นไรมั๊ง นิดเดียวเอง...ก็สาวๆ เหมือนกันแหละ แค่ตกประเภทสองต่อท้ายเท่านั้นเอง ฮ่า


ไอ้ล่ำเป็นลูกชายคนเล็กในบรรดาพี่น้องสองคน พี่ชายคนโตของมันเป็นผู้ชาย (พี่ชายมันจะเป็นผู้หญิงได้ไหมเนี่ย เอ!...แล้วพี่น้องสองคนมันต้องระบุคนโตคนเล็กด้วยเปล่าหว่า แต่ช่างเถอะ คิดมาก็ปวดหัว... กินเหล้าดีกว่า แฮ่)

พ่อแม่ล่ำจบโทมาจากอเมริกา กลับมาก็รับราชการประสาคนมีความรู้ สมัยนั้นคนจบนอกมันดูโก้หยอกซะเมื่อไหร่ ครั้นจะให้ทำงานเช้าฟาดผัดฟักเย็นฟาดฟักผัดนั้น ก็เห็นจะไม่สมฐานะนักเรียนนอก พ่อไอ้ล่ำก็เลยเปิดบริษัททำธุรกิจควบคู่ไปซะด้วยเลย กิจการก็ดีวันดีคืน ไม่สามวันผีสี่วันเผาเหมือนกิจการร้านข้าวแกงแม่ไอ้ดุ่ย


เนื่องจากความรวยจัดของบุพการีไอ้ล่ำ เราในฐานะกลุ่มเพื่อนสนิทแก็งค์อีเลฟเว่นจึงได้รับเชิญให้ไปเยี่ยมเยือนบ้านมันที่ขอนแก่นช่วงปิดเทอม นัยว่าจะดูว่าลูกคบเพื่อนดีหรือเปล่าทำนองนั้น ซึ่งตอนนี้ก็คงประจักษ์แจ้งไปแล้วล่ะครับ ฮ่า


บ่ายแก่ๆ ที่สถานีรถไฟดอนเมือง พวกเราเริ่มทยอยกันมาทีละคน โชคดีที่ไม่มีใครมาสาย ทั้งหมดจึงนั่งตัวเย็นเป็นน้ำแข็งบนรถไฟขบวนด่วนพิเศษจนถึงปลายทาง

ที่นั่น คนขับรถพร้อมรถตู้ปรับอากาศรอเราอยู่แล้ว ไปถึงบ้านไอ้ล่ำตอนสี่ทุ่ม ไหว้พ่อแม่มันคนละทีสองที แล้วก็หิ้วแบล็คในตู้โชว์พ่อมันโหลนึงตรงดิ่งเข้าเธคในเมือง...กระป๋ง กระเป๋า ยังกองเกลื่อนอยู่เต็มโซฟา


ห้าทุ่ม สาวๆ ในเธคกรี๊ดกันสนั่นเมื่อดีเจประกาศต้อนรับพวกเรา(ตกประเภทสองอีกแล้วครับท่าน แฮ่)


เนื่องด้วยเวลามีน้อย เธคปิดตีสอง แก้วเกิ้วเลยไม่ต้องใช้ เล่นถังน้ำแข็งนี่แหละเร็วจุใจดี

สามชั่วโมงแบล็คลิตรหมดไปห้าขวด เมายิ้มหัวทิ่มกันทุกคน ปกติพวกเรามีกินเหล้าดุๆ อยู่ก็แค่สามสี่คน ที่เหลือเป็นประเภทกินฝาเมาขวด กินเท่ๆ ไปงั้นเอง แล้วมันจะไปเหลืออะไรล่ะครับ ไอ้มาดเท่ดูดีที่เห็นในทีวีหรือตามป้ายรถเมล์นะ ตอนนี้กลายเป็นปลาดุกโดนทุบหัวดิ้นกระแด่วๆ เรียกหาขวดโซดาและยำตีนล่ะไม่ว่า


ดีที่พ่อไอ้ล่ำรอบคอบ ส่งลูกน้องมาคอยดูแลอยู่ห่างๆ ซึ่งดูหน้าโหดๆ แล้ว คงไม่ใช่คนขับรถธรรมดาๆ เพราะแค่พี่แกเดินผ่านหมาแถวนั้นก็ถึงกับฉี่ราด...เอ่อ! ก็ไม่ได้ไปราดเสาไฟฟ้าที่ไหนหรอก ก็ราดขาพี่แก นั่นแหละ

ตีสองเธคเลิก...กว่าพวกที่ยังพอมีสติจะตามเก็บศพเพื่อนๆ ที่เหลือ ตามใต้โต๊ะซอกเก้าอี้และข้างถนนลานจอดรถได้ครบ จัดแจงหามไปหลับต่อร้านข้าวต้ม กว่าจะกลับถึงบ้านก็ปาเข้าไปตีสี่ ไปถึงพวกที่เดินได้ ก็ตรงดิ่งเข้าบ้าน หาที่ว่างเฉพาะตัวนอนกันตรงนั้น...ส่วนซากศพที่เหลือ พ่อกับพี่คนขับรถรับเป็น ปอเต๊กตึ๊งหามลงกันสองคน


ตอนกินเหล้า...ใครไม่ขาวไม่หมด ไม่รักกันจริง เอ้า! หมดถัง...โห รักกันซะ ถึงไหนถึงกัน แต่พอถึงบ้าน ไหงเป็นอย่างนี้ไม่รู้



จากวันนั้นจนถึงวันนี้ พ่อไอ้ล่ำไม่เคยชวนพวกเราไปเที่ยวบ้านอีกเลย


สงสัยจะประจักษ์แจ้งแล้วว่าไอ้ล่ำคบเพื่อนดี

บันทึกชีวิต

ทุกๆ อาทิตย์จะมีวันหนึ่งเสมอที่ผมจะจอดรถไว้ที่บ้าน(ครั้นจะบอกว่าช่วยชาติลดมลภาวะ ประหยัดการเผาผลาญพลังงานของประเทศก็กลัวจะฟังดูดีไปหน่อย ซึ่งที่จริงผมแค่อยากดูชีวิตคนอื่นบ้างเท่านั้นเองล่ะครับ)


วันก่อนผมมีโอกาสได้ขึ้นรถเมล์ (คงไม่ต้องบอกว่าผมดีใจมากแค่ไหน นึกถึงภาพสาวๆ โห! คิดแล้วก็น้ำลายไหล เข้าไปเบียดจนสีข้างแดงเถือกทีเดียว เอ! มันใช้กับควายนี่หว่า ฮ่า)


บนรถเมล์คันนั้น มีนักเรียนทหารระดับนักเรียนเหล่า หรือก็คือระดับนักเรียนนายร้อยคนหนึ่ง ซึ่งจะเป็นเหล่าทัพไหนก็คงไม่สำคัญ เขาขึ้นโดยสารคันเดียวกับผม ภาพที่ผมเห็นคือเขานั่งทอดหุ่ยเหมอมองไปรอบหน้าต่าง ไม่ใยดีว่าจะมีใครๆ ขึ้นมาบนรถหรือไม่ ทำประหนึ่งพระเอกมิวสิคโดนสาวทิ้ง น่าเสียดาย...เขาเป็นได้แค่ตัวโกงในสายตาผม(ก็เจ้าตัวดี ดันไม่ลุกให้ผมนั่งนี่) เอาเถอะ มันแค่ทำให้ผมนึกถึงวันเก่าๆ ของชีวิต...ภาพแห่งความทรงจำ


ชีวิตนักเรียนทหารซึ่งรอคอยทุกเย็นวันศุกร์ หากไม่ได้ทำความผิดใดใดในรอบอาทิตย์นั้น เราก็จะเป็นอิสระ ได้รับการปล่อยผีกลับบ้าน ไปสวาปามไอศกรีมถ้วยยักษ์เอิร์ทเควกของสเวนเซ่นทีละสองถ้วย กินแป็บซี่วุ้นแช่เย็นจนเป็นเกล็ดน้ำแข็งสองสามลิตรให้สาแก่ความอดอยาก ทำเหมือนว่าชาตินี้จะไม่มีโอกาสได้กินอีก


เมื่อก่อนเตรียมทหารตั้งอยู่แถวสวนลุม การรอคอยรถเมล์สร้างความลำบากให้กับพวกเราไม่น้อย โดยเฉพาะถ้าศุกร์ไหนฝนตกละก็...รถเมล์กรุงเทพฯ ก็อย่างที่รู้ๆ กันอยู่ จอดป้ายเป็นวินาที บ่อยครั้งที่เดินฝ่าสายฝนออกไปด้วยมาดนิ่งๆ...แล้วก็ต้องเดินกลับมาที่เดิมเพราะขึ้นรถไม่ทัน แต่ก็ไม่วายเดินนิ่งๆ ด้วยมาดเดิม...เป็นภาพที่ตัดกับคนอื่น ที่ต่างก็รีบวิ่งไปขึ้นรถโดยสิ้นเชิง




พวกเราถูกสอนว่า ก่อนขึ้นรถโดยสาร จะต้องเตรียมเงินให้พอดีกับค่ารถ กำไว้ในมือซ้ายที่ถือกระเป๋า ขึ้นรถไปแล้วนั่งได้แค่เบาะหลัง แต่ถึงเบาะหลังว่าง หากที่นั่งในรถว่างไม่ถึงหนึ่งในสาม ก็ไม่ควรนั่ง... การยืนๆ นั่งๆ เพื่อลุกให้คนอื่น จะทำให้เสียบุคลิก


ครั้งหนึ่งเพื่อนคนนึงลืมหยิบเงินมาเตรียมไว้ก่อน พอกระเป๋ารถเมล์มาเก็บเงินก็ละมือจากราว รีบล้วงกระเป๋ากางเกงจะหยิบให้ เป็นจังหวะเดียวกัน กับที่คนขับเหยียบเบรกกะทันหัน...ผลหรือครับ คนจากที่ยืนอยู่ส่วนท้าย กึ่งล้มกึ่งคลานไปกลางคัน ส่วนหมวก กลิ้งหลุนๆ นำหน้าไปหยุดที่ปลายเท้า ที่นั่งตอนแรกข้างคนขับ


นักศึกษาสาวข้างผมกัดฟันอมยิ้มจนหน้าแดง เจ้าเด็กผีเบาะหลังระเบิดก๊ากลั่นรถ พรวด! น้ำลายคุณนักศึกษากระเด็นเต็มแขนเสื้อที่รีดกลีบคมกริบของผม...เธอกลั้นไม่อยู่ แถมคราวนี้หยุดไม่ได้ น้ำหูน้ำตาไหลพราก หน้าตาเต้าหู้ยี้ยิ่งน่ากราบไปใหญ่(ความหมั่นไส้ทำให้บดบังความน่ารักของเธอที่ผมแอบมองจนตาแทบเหล่เสียจนเกลี้ยง)


แต่...คนมันจะเท่อะไรก็ฉุดไม่อยู่ เพื่อนผมลุกขึ้นด้วยสีหน้าปกติ เดินไปหยิบหมวกแล้วกลับมายืนข้างผมด้วยมาดนิ่งๆ เช่นเดิม(ผมอยากเดินหนี แต่จนปัญญาเพราะมันอยู่ท้ายคันแล้ว)


ทุกวันนี้มันมีรถขับ แต่ถ้ามันขึ้นรถโดยสาร มันจะเตรียมเงินไว้ในมือซ้ายเสมอ...บางครั้ง ประสบการณ์ ก็สอนคนได้เป็นอย่างดี


ไม่รู้ภาพเหล่านี้ลบเลือนไปแล้ว หรือผมแค่บังเอิญไม่ได้เห็นมัน


บนรถประจำทางคราวนั้น ผมคิดอะไรเรื่อยเปื่อย มีเรื่องบางเรื่องที่เคยเกิดขึ้น... ปัจจุบันก็ยังเกิดอยู่แต่เปลี่ยนรูปแบบไปบ้าง และมีบางเรื่องเคยเกิดขึ้น...ปัจจุบันเหมือนไม่มีอยู่ และดูเหมือนจะไม่เกิดอีกแล้ว ด้วยเหตุนี้ ก่อนที่บางเรื่องนั้นจะสูญหาย และบางเรื่องจะเลือนไปเกินกว่าจะทรงจำอยู่ได้ ผมจึงตัดสินใจบันทึกมันเก็บเอาไว้


ตำนานจอมมึน



ผมเชื่อว่าไม่ว่ารุ่นไหนสถาบันไหน ก็คงมีเพื่อนร่วมรุ่น อย่างน้อยหนึ่งคนที่ระบบสมองผลิตระบบการคิดที่แตกต่างไปจากคนอื่น ๆ อย่างน่ามหัศจรรย์


แน่นอนสถาบันชั้นนำอย่างโรงเรียนนายเรืออากาศเองก็ไม่ได้หลุดพ้น ไปจากความจริงข้อนั้น


อาร์ม...ชายหนุ่มที่บ้าเพลงอัลเทอร์เนทีฟ และคลั่งไคล้ศิลปะการวาดการ์ตูนเป็นชีวิตจิตใจ เขาเป็นนักเรียนเรียนดีที่จัดอยู่แถวหน้าของโรงเรียนคนนึง แต่เขาไม่ใช่คนขยันแบบหนอนหนังสือ แว่นตาหนาเตอะหรอกนะครับ ชีวิตประจำวันของเขาเรียบง่าย การเอาใจใส่การเรียนในห้องก็ต่างจากผลการเรียนของเขามากโขอยู่



ทุกปีเมื่อเริ่มต้นภาคการศึกษาใหม่ อาร์มจะพิถีพิถันในการเลือกที่นั่งในห้องเรียนเสมอ วันนี้ก็เช่นกัน ที่นั่งมุมห้องสำหรับการตั้งต้นเรียน ย่อมต้องเป็นตำแหน่งที่ดีที่สุดสำหรับการหลีกเลี่ยงไปจากสายตาอาจารย์ ด้วยความตั้งใจแน่วแน่ว่าภายในสิ้นปี เขาต้องได้ตีพิมพ์การ์ตูนซีรี่ในหนังสือมหาสนุกสักสิบตอน... อาร์มทรุดตัวลงนั่งและยิ้มอย่างมั่นใจ


พลันเมื่อเปิดโต๊ะ อาร์มก็พบกับตำราเล่มหนึ่ง จากลักษณะภายนอกบ่งบอกว่ามันคงสืบทอดกันมาหลายช่วงคน หน้าปกที่ฉีกขาดแหว่งวิ่นปรากฎตัวอักษรเขียนไว้อย่างงดงาม ตำนานจอมมึน


เมื่อพลิกดูอย่างช้า ๆ จึงพบว่า มันเป็นบันทึกเรื่องราวของบุคคลหลายคนในช่วงเวลาแตกต่างกัน บางคนถูกเขียนไว้ด้วยตัวอักษร บางคนก็ถูกวาดไว้ด้วยรูป แต่ทุกคนในบันทึกมีจุดเหมือนกันอยู่ประการหนึ่ง...หนึ่งเดียวนั้นคือ สภาวะที่เรียกว่าความมึน


ยิ่งอ่าน ๆ ก็พบว่า บุคคลที่จะถูกบันทึกเป็นตำนานอยู่ในสมุดนี้ จะมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ในแต่ละรุ่นนายเรืออากาศ เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ฉันใด


จอมมึนก็ไม่อาจมีสองร่วมรุ่นกันฉันนั้น...อาร์มฉีกยิ้มและนึกครึ้มอยู่ในที เขาได้พระเอกสำหรับการ์ตูนเรื่องใหม่ของเขาแล้ว


หลังจากทานข้าวเย็นเสร็จ ชั้นปีที่ห้าซึ่งมีอภิสิทธิ์สามารถเดินกลับตึกคนเดียวได้โดยไม่ต้องรอตั้งแถว ค่อย ๆ ทะยอยเดินกลับกันทีละคนสองคน แล้วแต่ว่าใครทานข้าวอิ่มก่อนอิ่มหลัง การเดินประปรายเป็นสายยาวตามถนนจึงเป็นเรื่องปกติของทุกวัน


ขณะที่โน้ตหนุ่มหล่อประจำรุ่น เดินคุยมากับเพื่อนกลับพลันต้องเซไปตามแรงผลักของไอ้โพที่แอบวิ่งมาชาร์จจากข้างหลัง และก่อนที่เจ้าตัวจะร่วงลงไปในสระบัวริมทาง เจ้าโพก็รั้งเอาไว้ทัน...นั่นเป็นเรื่องปกติที่พวกเราชอบแกล้งกันยามคนข้างหน้าเผลอ... แต่ครั้งนี้ มันเกิดขึ้นต่อหน้ายอร์ช...ชายผู้รักการเลียนแบบ


ก่อนที่ใครจะทันห้ามปราม ยอร์ชก็วิ่งเข้าชาร์จไอ้โพเข้าให้ แล้ว ตูม! เสียงไอ้โพทิ้งส่วนสัดขนาดควายป่าไบซันลงไปกระแทกพื้นน้ำไปตามแรงผลัก ทุกคนบนฝั่งที่เห็นเหตุการณ์ ได้แต่ส่ายหัว เสียงไอ้โพตวาดแว้ดหลังเห็นตัวการยืนยิ้มแฉ่ง มึง! ไอ้ยอร์ช


แล้วเหตุการณ์ตามไล่เตะก็เกิดขึ้น คนนึงตะโกน ไอ้ยอร์ช มึงหยุด อีกคนวิ่งนำหน้าตะโกน กูไม่ตั้งใจ กูจับไม่ทัน เสียงตะโกนซ้ำ ๆ บรรยายใต้ภาพไปจนจบตอน...อาร์มยิ้มอย่างภูมิใจ วางปากกาและออกไปพักระหว่างคาบเรียน


ตอนที่สองเปิดฉากขึ้นที่ห้องนอนคอมแมนด์ อาคารนอนห้า ใครจะรู้ยอร์ชเราจะได้รับเลือกเป็นนักเรียนบังคับบัญชาปกครองน้อง ๆ กับเขาด้วย (บ้างก็ว่ายอร์ชยัดเงินนายทหาร บ้างก็ว่ายอร์ชซี้กับผู้บัคับบัญชา แต่นั่นก็เป็นแค่ข่าวลือ ...เพราะจริง ๆ แล้วยอร์หยิบฉลากได้มา)


ยอร์ชกับห้อยทั้งคู่เป็นคอมแมนด์ของน้องชั้นสามและนอนห้องเดียวกัน ทุกเช้าหลังตรวจระเบียบโรงนอนเสร็จ สองคนก็จะอาบน้ำแต่งตัว และเดินไปเรียนฝั่งกองการศึกษาพร้อมกัน แม้ทั้งคู่จะเรียนต่างสาขา คนนึงเรียนวิศกรรมโยธา อีกคนเรียน


วิศกรรมไฟฟ้า แต่ทั้งสองตึกก็อยู่ใกล้กันแค่เสียงหมาหอน ทุกวันจึงเป็นเรื่องปกติ ที่ทั้งคู่จะกระหนุ๋งกระหนิงเดินเกี่ยวก้อยไปเรียนด้วยกัน


...แต่วันนี้ไม่ใช่...


เฮ้ย! ไอ้ห้อยเห็นหมวกศึกษากูเปล่า? ยอร์ชถามขณะกำลังหวีผมอยู่หน้ากระจก

ก็มึงสวมอยู่ ไอ้ห้อยส่ายหัวมองด้านหลังผ่านกระจกเงาอย่างระอา

เออใช่! กูลืม ยอร์ชยิ้มอย่างดีใจ แล้วก็เดินออกไปจากห้อง

...และยอร์ชก็เดินไปเรียน...


ห้านาทีให้หลัง


เฮ้ย! มีใครอยู่มั๊ย? เสียงตะโกนข้ามตึกระหว่างอาคารนอนห้าไปยังอาคารนอนหก ไอ้ห้อยเรียกอยู่สองสามครั้ง ก่อนที่คอมแมนด์อาคารนอนหกจะโผล่หน้ามาดู


กูอยู่ทางนี้ ช่วยกูด้วย

เฮ้ย! มีอะไรวะไอ้ห้อย?

แม่ง! ไอ้ยอร์ชใส่กุญแจขังกู


กว่าไอ้ห้อยจะปีนหน้าต่างหลังห้องห้อยโหนจากชั้นบนของอาคารนอนชั้นบนลงมาได้ ก็เล่นเอาแข้งขาสั่น...มันสั่นเพราะอยากเตะใครบางคน


โน่น! ไอ้ยอร์ชเดินกลับมาแล้ว


แม่ง! เพิ่งจะนึกออกนะ ไอ้เพื่อนเวร ไอ้ห้อยสบถอย่างเอือม ๆ ยอร์ชของเพื่อนๆ ยิ้มเผล่มาแต่ไกล พลันเมื่อได้ระยะ มันก็ร้องถาม


อ้าว! พวกมึงไม่ไปเรียนเหรอ?


ไอ้ห้อยทำหน้างง ชักไม่แน่ใจว่ามันตั้งใจกลับมาเปิดประตูให้

อ้าว! แล้วมึงกลับมาทำไม

อ๋อ! กูลืมถือกระเป๋าไป ถึงห้องแล้วถึงรู้สึกว่าเดินมาเบา ๆ ว่ะ


อาร์มเริ่มครุ่นคิด คิ้วทั้งคู่ขมวดเข้าหากัน...ท่าทางอย่างนี้บ่งบอกว่ากำลังหนักใจอะไรบางอย่าง

เสาร์อาทิตย์เขาจะเริ่มเดินหาสมุดบันทึก ตำนานจอมมึนภาคนี้ท่าทางจะเป็นเรื่องยาว

ในหัวเขาเริ่มเห็นการ์ตูนขนาดเอนไซโคปีเดีย

ขุดแหวน


ผมนั่งมองรอยแผลเป็นเล็ก ๆ ซึ่งจางจนแทบมองไม่เห็นบนนิ้วกลางมือซ้าย มันเป็นร่องรอยที่แสดงความยินดีของรุ่นพี่


แหวนจักรดาวที่มีดาว 5 แฉกปลายแหลมอยู่ด้านซ้าย แม้บัดนี้จะไม่ได้ถูกสวมเอาไว้แล้ว แต่เหมือนยังมีมันอยู่ตรงนั้นเสมอ... ไม่มีแหวนวงใดจะแทนที่ได้ ...เพราะแหวนวงนั้นคือส่วนหนึ่งของความทรงจำ



ปรี๊ด ปริ๊ด ปริ๊ด ปริ๊ด ปรี๊ดดด! “ตื่น ตื่น ตื่น ลุกให้หมดเดี๋ยวนี้ 30 วินาที ชุดพละหน้าตึกไปได้” พวกเรานักเรียนใหม่รีบกระเด้งดึ๋งลงจากเตียงแปลงร่างเป็นมดเอ็กซ์ซุปเปอร์วัน สับ 100 เมตร แซงเบน จอห์นสัน เหนี่ยวตัวกระโดดข้ามหัวคาร์ล ลูอิสและบันได 10 ขั้น ลงจากตึก 4 ชั้น อย่างไม่กลัวแข้งขาหัก ข้างล่างเพื่อนบางคนนอนแบกโลกตากลับอยู่แล้ว ไม่ต้องรอคำสั่ง ...คนที่ตามมาทีหลังรีบกระโดดข้ามหัวเพื่อนหาพื้นที่ว่าง ทรุดตัวลงไปนอนแบกโลกตาม ๆ กันไป...

“5 4 3 2 1 หยุด! ไม่ทันแยกแถวไว้ ม้วนหน้าไปโน่น”


ปลายดัชนีชี้ไปยังพญามัชจุราช ซึ่งยืนขบเขี้ยวเคี้ยวปลาหมึกทาโร่รออยู่ แค่ปรายตามองเห็นบุคคลที่ปลายนิ้วมรณะชี้ หัวใจที่ลีบเป็นโปลิโอยิ่งฝ่อเล็กกว่าเม็ดถั่วเขียว ...และเชื่อได้ว่ามันจะเล็กลงไปอีกเมื่อม้วนหน้าไปถึงแทบเท้าคู่นั้น... เอาเถอะ ยังไม่ต้องไปเอาใจช่วยใคร เพราะโลกที่แบกเริ่มหนักขึ้น ๆ ทุกที


“อ้าว แบกดีดี ไม่ชอบใช่มั๊ย”
“ลุก! มือไขว้หลัง กางขา หัวปักลงไป”


ท่านี้ใครคอไม่แข็งมีสิทธิ์เมา เอ้ย ไม่ใช่ คออาจเคล็ดเอาง่าย ๆ .. ทิ้งบอมส์..เป็นชื่อของมัน และขอแนะนำอย่าได้ลองเลียนแบบ แต่ถ้าอดอยากรู้ คันยิบ ๆ ในหัวใจ




เอาไว้ไม่ได้ แนะนำให้ลองทำบนที่นอนนุ่ม ๆ อ้อ! แล้วอย่าลืมเรียกพี่ ๆ น้อง ๆ มาดูด้วย...เผื่อจะได้ส่งโรงพยาบาลทัน


จะกี่โมงนั้น พวกเราไม่รู้หรอก แต่ที่แน่ ๆ ท้องฟ้ายังมืดสนิท และมืดดำพอ ๆ กับจิตใจคอมแมนด์ที่แสนอำมหิตปลุกเรามาซ่อมยามค้างคาวหากิน



จากชุดพละจับเวลาเปลี่ยนเป็นชุดฝึก เป็นชุดนอน เป็นชุดศึกษา และกระทั่งชุดคนบ้า (เสื้อศึกษากางเกงพละ รองเท้าคอมแบทข้าง รองเท้าแตะข้าง ใส่หมวกฝึก มือถือขัน ปากคาบแปรงสีฟัน) มือข้างที่ถือขันก็ถือขันไป อีกข้างว่างก็ยันพื้นพุ่งหลังไปด้วย ปากที่คาบแปรงก็ต้องนับจำนวนครั้งที่ทำแล้วให้เสียงดัง แปรงตกก็เพิ่มจำนวนไปอีกร้อย ต่างคนเลยกัดแปรงกันแน่น น้ำลายนี่ไหลเป็นทาง


...อะไรที่ทำแล้วเกิดประโยชน์ต่อตัว ทำให้ดูดี ดูมีค่าขึ้น ก็พยายามทำไปเถอะ ชีวิตไม่ได้ยาวนานอย่างที่คิด ทุกคนเกิดมามีหน้าที่ และควรทำหน้าที่นั้นให้ดีที่สุด เมื่อตัดสินใจทำมันแล้ว ก็ทำให้สุดความสามารถ ไม่ต้องออมกำลังเอาไว้ ...บางครั้งเราไม่อาจเลือกทำเฉพาะในสิ่งที่อยากทำ พอใจที่จะทำ แต่ทำไงได้ล่ะ ในเมื่อมันเข้ามาในเส้นทางชีวิตเรา มาท้าทายคุณค่าของตัวเรา ..ก็ได้แต่พิสูจน์ให้มันรู้ดำรู้แดงกันไปข้างหนึ่งเท่านั้น


คิดได้อย่างนี้ ถึงได้มีกำลังใจสู้ต่อ เอ! หรือเพราะไม่ได้คิดก็ไม่รู้ ผมชักไม่แน่ใจ แต่ก็ช่างเถอะผมสลัดมันออกจากความคิด กัดฟันคาบรองเท้าแตะที่สลับตำแหน่งมาแทนแปรงสีฟันพุ่งหลังต่อไป



ดาวบนฟ้าพร่าพรายจนมองไม่เห็น แต่ดาวที่ปรากฎต่อสายตากลับแจ่มชัดตัดกับความรู้สึกที่เลือนรางลงทุกที ...ในขณะที่สติจะขาดลงไปนั้น แสงทองยามเช้ากลับโผล่มาต๊ะเอ๋ช่วยชีวิตพวกเราไว้ โอ! นี่เองแสงทองแห่งชีวิต มันช่างสวยงามนัก



......................................................


สี่คืนแห่งการทดสอบจิตใจและความแข็งแกร่ง แม้ผ่านไปอย่างยากลำบาก แต่ทุกคนก็ฟันฝ่าไปจนได้



เย็นก่อนวันประดับแหวน รุ่นพี่ชั้นสองจะเข้ามาประกบทุกคนแบบตัวต่อตัว ไม่มีคอมแมนด์แสนโหด ลุ้นกันว่าใครจะเจอรุ่นพี่แบบไหน บังเอิญเจอพี่โรงเรียน พี่จังหวัด นั่นก็ดีไป แต่ถ้าไม่ใช่... ได้แต่ภาวนาว่านาฬิกาจะเดินเร็วกว่าทุกวัน


แสงจันทร์คืนพระจันทร์เต็มดวงเปลี่ยนร่างคนของมนุษย์หมาป่าฉันใด แสงอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้ายามเย็น ก็
เหมือนแสงมหัศจรรย์ที่เปลี่ยนร่างหมาป่าของรุ่นพี่กลับเป็นคนฉันนั้น...หัวโขนที่พี่ ๆ ตีหน้ายักษ์ แสร้งสวมหัวใจมารลงมาทดสอบกำลังใจสั่งให้ทำโน่นทำนี่ ก็ตีลังกากลับตาลปัตรกลายเป็นหน้าซานตาครอส หัวใจแม่ชีเทเรซ่า...ดีจนใจหาย หลายคู่กอดคอกันร้องไห้ร้องห่ม...เป็นบรรยากาศที่จดจำมาถึงทุกวันนี้


คืนนี้ เป็นคืนสุดท้าย...พรุ่งนี้แล้วที่เราจะผ่านและได้เข้าร่วมพิธีประดับแหวนที่รอคอยมาทั้งปี แม้รู้ว่าราตรีนี้อีกแสนไกล แต่มันก็คงไม่เกินไปกว่าสิบสองชั่วโมงหรอก ถ้าพระอาทิตย์ไม่เบี้ยวเกงานเสียก่อน



กลางดึกคืนนั้น หลังการทดสอบสภาพร่างกายและจิตใจจบสิ้น พวกเราแต่ละกองร้อยถูกเกณฑ์เข้าไปรวมในห้องอาบน้ำ ในอ่างอาบรวมที่อาบกันทุกวัน เต็มไปด้วยไอเย็นจากน้ำแข็งมือที่ลอยเป็นแพติด ๆ กัน แสงไฟในห้องส่องกระทบอะไรบางอย่างใต้น้ำเห็นเป็นแสงสีแดงแวววาว

...แหวนของพวกเรา


“ลงไปงมมาคนละวง ตามหาเจ้าของแหวนให้เจอก่อนตีห้า” สิ้นเสียงสั่งไฟในห้องถูกดับลง พวกเราต่างทยอยลงไปในอ่างอาบน้ำ น้ำแม้จะเย็นจนสะท้านแต่หาได้ทำลายความปลื้มปิติและความกระตือรือร้นลงไปงมแหวนของพวกเราเวลานั้นเลย





แล้วกระบวนการตามหาเจ้าของก็เกิดขึ้น เวลานี้เองที่ทำให้เรารู้จักเพื่อนของเราอีกมาก ไม่น่าประหลาดใจหรอกครับ ที่การอยู่ร่วมกันมากกว่าครึ่งปีไม่ได้ทำให้เรารู้จักใคร ๆ มากเท่าที่ควร การไม่มีเวลาส่วนตัว การถูกจำกัดให้ต้องทำโน่นทำนี่ตลอดเวลามันช่วยให้เราได้ช่วยเหลือและศึกษานิสัยใจคอก็แต่เพื่อน ๆ ที่อยู่ใกล้ตัวเท่านั้น สำหรับเพื่อน ๆ ต่างหมวดต่างกองร้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่างกองพันนั้น เราแทบไม่รู้จักชื่อด้วย
ซ้ำ... งานนี้เราเลยรู้จักเพื่อนเพิ่มขึ้นอีกหลายคน


เสียงถามไถ่หาเจ้าของชื่อสกุลที่อยู่หลังแหวน ดังไปจนถึงเวลาเก็บแหวนทั้งหมดคืน เพื่อจัดใส่พานทำพิธีการสุดท้ายหน้าองค์พระพุทธรูป... มีเวลาอีกเล็กน้อยสำหรับพักผ่อนก่อนเวลานัดหมาย หลายคนตื่นเต้น เตรียมเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายรอบแล้วรอบเล่าเหมือนกลัวผิดพลาด แต่...ดู ๆ แล้วส่วนใหญ่เลือกที่จะหลับพักเอาแรงไปยืนร่วมพิธีกันมากกว่า



พิธีประดับแหวนและการสวนสนามผ่านไปอย่างราบรื่น แม้จะมีคนเป็นลมหามกันไปบ้างหกเจ็ดคน แต่ก็ฟื้นมาเดินผ่านซุ้มที่ทำเป็นรูปแหวนจักรดาว ได้รับการแสดงความยินดีจากพี่ ๆ กันครบถ้วนหน้า บางคนอาจหน้าตาเหยเกไปบ้างที่พี่แกล้งบีบมือให้ส่วนแหลมของดาวข้างแหวนกดตำนิ้วกลางข้างซ้าย บ้างก็ฝืนยิ้มทำหน้าระรื่น...เสแสร้งชวนให้รางวัลออสการ์ ทั้งที่อยากร้องตะโกนให้ลั่นสนาม ไม่รู้ว่าน้ำตาที่ไหลมันเพราะความปิติ หรือเพราะความเจ็บ... แต่สำหรับผมมันคงทั้งสองอย่างปนกัน



แม้จะเป็นเพียงแหวนโลหะพลอยแดงที่เป็นพลาสติกอัดเม็ดธรรมดา ๆ แต่คุณค่ามันกลับยิ่งกว่าแหวนมีราคาวงอื่น ๆ

แทบไม่เคยเห็นเลยว่ามีพวกเราคนไหนเอาไปทำเป็นวงใหม่
จึงไม่น่าแปลกใจอะไรที่เห็นนายพลบางคน เดินลงจากรถยุโรปใส่สูทหรูสวมนาฬิกาโรเล็กซ์
แต่นิ้วนางข้างซ้ายมีเพียงแหวนโลหะธรรมดา ๆ สวมอยู่



แหวนที่ซื้อไม่ได้วงนั้น

การศึกษาใต้เตียงนักเรียนทหาร



ชีวิตและการศึกษาในโรงเรียนเตรียมทหารนั้น เป็นที่รู้กันว่าลำเค็ญอย่างยิ่ง ต่อให้ฉลาดแค่ไหนใช่ว่าจะประสบความสำเร็จทางด้านการเรียนที่นี่ เพราะที่นี่ทุกอย่างจะถูกจำกัดด้วยเวลา แน่นอนว่าเป็นเวลาที่สั้นมาก ตารางเวลาที่ให้อ่านหนังสือหรือทำการบ้าน ทุกคนจึงไม่ค่อยได้ใช้มัน ...แอบเอารองเท้าและเครื่องหมายประกอบเครื่องแบบมาขัดเสียมากกว่า เพราะนั่นจะส่งผลถึงความเหนื่อยในวันรุ่งขึ้น


หน้าหมวกไม่ตรง ผมยาว ขนจมูกแล่บ กันจอนเอียง คราบแกงติดปาก เสื้อมีขน หัวเข็มขัดไม่มัน กางเกงสกปรก รองเท้าไม่เคยขัด ทั้งเห็บทั้งหมัดเต็มหัว...11 รายการ 110 ยก กระผมนักเรียนเตรียมทหารธรนิณ บินถึงดวงดาว หมวดหนึ่ง ร้อยสอง พันสาม ขออนุญาตปฏิบัติครับ

สิ้นเสียงหนุ่มน้อยก็ทรุดตัวลงไปทำท่าพุ่งหลังทำโทษตัวเอง ส่วนท่าลงโทษจะเป็นอย่างไรช่างมันเถอะครับ เอาเป็นว่าเหนื่อยตายชักแน่นอน


การอ่านหนังสือนักเรียนเตรียมทหาร ซึ่งเวลาสองชั่วโมงสำหรับการทบทวนตำราฝึกฝนตัวเองจะไปพอที่ไหน ฉะนั้นมันก็ต้องแอบเอาเวลานอนมาใช้ แต่จะทำยังไงล่ะถึงจะไม่ถูกจับได้


ดึกสงัด ความมืดเข้าปกคลุมโรงนอน นายทหารปกครองคนใหม่เดินลาดตระเวณตรวจความเรียบร้อยตามตึกนักเรียนชั้นหนึ่ง


เสียงคุยกุ๊กกิ๊กเบา ๆ แว่วมาเข้าหู ต้นเสียงดังมาจากเตียงด้านในติดหน้าต่าง ซึ่งอับจากสายตาคนสัญจรผ่าน นายทหารหนุ่มเดินเข้าไปประชิดเตียง ...น่าแปลก ผ้าห่มสองผืนถูกซ้อนทับพาดปล่อยชายลงติดพื้น อำพลางแสงสลัวให้เตียงอย่างหน้าสงสัย

ใต้ผ้าห่ม คนสมมตินอนตัวตรงนิ่ง ชุดฝึกสองสามชุดถูกม้วนทบอุปโหลกให้เป็นร่างเจ้าของเตียง


...อืม มุขเด็ก ๆ ไม่สร้างสรรค์เอาเสียเลย...นายทหารหนุ่มคิดในใจ ก่อนค่อย ๆ คุดคู้ลงเลิกผ้าด้านท้ายเตียงแอบดูฉากการศึกษาในห้องเรียนจำเป็น


ไม่หลับไม่นอนกันใช่มั๊ย นายทหารหนุ่มทักด้วยเสียงดังพอที่จะทำให้สองคู่หูทะลึ่งพรวดหัวโขกใต้เตียงดังสนั่นโรงนอน ก่อนจะมุดออกมายืนหน้าเจี๋ยมเจี้ยม เหมือนเด็กโดนแม่จับหนังสือโป๊ สองคนรับสารภาพว่าอ่านหนังสือไม่ทันจึงจำเป็นต้องฝืนระเบียบ


เมื่อทำผิดก็ย่อมมีโทษ


ผ้าปูที่นอนสีขาวถูกปูลงบนพื้น เด็กหนุ่มสองคนล้มตัวลงนอนหันหน้าเข้ากอดกัน (โอว สยิว) นายทหารใหม่พับชายผ้าทบลงบนร่างของทั้งคู่ ก่อนจะกลิ้งให้ผ้าขาวพันไว้กลายเป็นมัมมี่ คิดถึงชุดนอนวาบหวิวของนักเรียนทหารที่แสนบางเบาและไม่ใส่ชั้นในด้วยแล้ว...โอ้ก อ๊วกดีกว่า


จนกระทั่งนายทหารใหม่ อบรมเรื่องการบริหารเวลาเสร็จสรรพทั้งคู่จึงได้อิสรภาพ กระโดดขึ้นเตียง เตียงใครเตียงมัน


คืนนั้น ...ทั้งคู่นอนเบิกตาโพลง ขนลุกซู่...แอบกังวลอยู่ลึก ๆ ...ไอ้สอบตกน่ะไม่กลัว แต่แม่บอกมีอะไรอย่าลืมป้องกัน ...แต่เหตุคราวนี้มันฉุกละหุกไม่ได้เตรียมการ ...คิดแล้วก็กลุ้ม...จะท้องมั้ยเนี่ย แม้จะเดินผ่านประตูโรงนอนออกไปแล้วแต่รอยยิ้มของนายทหารหนุ่มยังไม่จางหาย


ภาพมัมมี่ขนุนในอดีตเมื่อสิบปีก่อนทำให้นายทหารใหม่เดินยิ้มฟันดำหายไปในความมืด

น้ำท่วมชีวิตต่าง

น้ำท่วม ผักบุ้ง ลอยคอ
หมาเน่า หัวร่อ ยิ้มแฉ่ง

ดำผลุด ดำโผล่ ลงแร้ง
แม่แกง ผักบุ้ง ให้กิน

อีกา อึงฉาว สาวไส้
หนอนไหน กัดกิน ท้องถิ่น
น้ำตา ชาวบ้าน รินริน
ข้าวกิน คลุกเกลือ บรรเลง

ผักบุ้ง ผักบุ้ง ผักบุ้ง
ลอยมา ทั้งคุ้ง โหรงเหรง
พ่อออก พายเรือ โทงเทง
ลูกถอด กางเกง โดดน้ำ

วิถี ชีวิต แตกต่าง
มีทาง มากกว่า ร้องร่ำ
สิ่งใด ใครก่อ กระทำ
สักวัน หรอกกรรม เวนคืน

ม้งเอฟสิบหก




ใครๆ ก็รู้ว่าม้งเป็นชายหนุ่มร่างสันทัดจากที่ราบสูงโคราช ที่เจ้าตัวยืนยันหนักแน่นว่าโคราชน่ะภาคกลาง และม้งนี่แหละที่เป็นตัวตั้งตัวตีสองคนเจ้าต่อคู่ซี้ รวบรวมสมัครพรรคพวกชาวโคราช ประกาศเอกราชจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ...ไม่ใช่ซิโคราช ไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งของอีสานมาก่อน เจ้าตัวยืนยันหนักแน่น และด้วยเจตนารมณ์ที่แนวแน่ ม้งจึงไม่เคยไปร่วมงานเลี้ยงเด็กอีสานกับเขาสักครั้ง ที่สำคัญม้งพูดภาษาโคราชซึ่งแตกต่างไปจากการเว้าลาวที่เพื่อนๆ พยายามเย้าแหย่ให้ม้งพูด ...ม้งจึงมั่นใจว่าโคราชน่ะภาคกลาง


ประตูสู่อีสานที่ตระหง่านหราอยู่ ม้งก็ให้เหตุผลว่ามันหมายความว่าถัดจากจังหวัดนี้ไปคือ อีสาน หาใช่หมายรวมถึงโคราชของม้งเข้าไปด้วยไม่ ...แม้สมัครพรรคพวกจะพยายามเอาตำราภูมิศาสตร์มากางให้ดู ม้งก็ปิดตาเสีย

ยังไงๆ โคราชก็ภาคกลาง ...ม้งบอกอย่างนั้น

ช่างเถอะครับนั่นไม่ได้สำคัญอะไรไปกว่า สิ่งที่ผมจะพูดถึง ...ความใฝ่ฝันของม้ง...


ม้งมีพี่ชายคนนึง ซึ่งก็เป็นนักบินลำเลียงของกองทัพอากาศ และก็เป็นรุ่นพี่นักเรียนนายเรืออากาศที่ห่างรุ่นกับเราพอสมควร โดยบุคลิกที่ยิ้มง่ายหน้าตาใจดี พวกเราก็ลงความความเห็นว่าพี่ของม้งก็เหมาะกับการเป็นนักบินลำเลียงดี


แต่ดูเหมือนม้งจะไม่คิดเช่นนั้น เจ้าตัวพยายามค่อนขอดพี่ชายอยู่เสมอว่า ชายชาตินักรบมันต้องบินเครื่อง

บินขับไล่ ถ้าไม่ใช่เอฟห้า ก็ต้องเอฟสิบหก กับเพื่อนๆ ก็เช่นกัน ใครที่ใฝ่ฝันจะบินเฮลิคอปเตอร์ บินเครื่องบินลำเลียง หรือเครื่องบินแบบอื่นๆ จะโดนม้งกระแนะกระแหน และปลุกกระแสนักรบให้เปลี่ยนความคิดตลอดเวลา


สำหรับม้ง ..ต้องบินเอฟสิบหกไล่ยิงกันแบบในหนัง ถึงจะสมภาคภูมิกับความเป็นชายชาตรี

เพื่อนๆ ฟังม้งแล้วก็ส่ายหน้า เดินไปหากระโปรงมาใส่ งั้นพวกกูขอเป็นลูกผู้หญิงนั่งเฝ้าเรดารห์รอดักยิงมึงแล้วกันนรเซ็งหนึ่งในพลพรรคชาวอีสานประชดม้ง


ม้งเป็นเจ้าของคติที่ว่า ความพยายามอย่างไม่ลดราวาศอก สามารนำมาซึ่งความสำเร็จม้งจึงฝึกฝนและพัฒนาตัวเองอยู่ตลอด ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เข้าห้องเพาะกายและใช้เวลากับเครื่องเล่นต่างๆ ทุกเย็น กล้ามเนื้อของม้งจึงสวยแบบอาโนลด์ ซวาเซนเนกเกอร์ ... ถ้าตัดหัวม้งทิ้งเสีย มันคงได้รางวัลชายงามทุกๆเวที ...เพื่อนๆ บอกม้งอย่างนั้น

จึงไม่แปลกอะไรที่ม้งจะชอบถอดเสื้อ ยืนอยู่หน้ากระจกครั้งละนานๆ และทุกครั้งม้งก็จบด้วยแฟชั่นโชว์ เดินอวดกล้ามเต๊ะท่านักบินไปทั่วโรงนอนพลางยักคิ้วยักกล้ามหน้าอกสลับไปสลับมาให้เพื่อนๆ หมั่นไล่เตะเล่น

แม้แต่สาขาวิชาที่เลือก ม้งก็เลือกวิศกรรมอากาศยานนัยว่าให้สอดคล้องกับความต้องการเป็นนักบินเอฟสิบหก ที่ควรจะเข้าใจกระจ่างในเรื่องของอากาศพลศาสตร์ ...และม้งก็ทำได้ดี


ม้งจะขยันและตั้งใจเรียนทุกวิชาที่เกี่ยวข้องกับอากาศยานและการบิน สมุดเลคเชอร์ ของม้งจึงอัดแน่นไปด้วยตัวหนังสือซึ่งแทบแยกไม่ออก อันไหนผักบุ้ง อันไหนสะระแหน่ ...มันท่วมทุ่งไปหมด

ก่อนสอบทุกเทอมก็จะได้ม้งนี่ล่ะ สรุปเลคเชอร์ที่เรียนมาทั้งหมดให้ และเจ้าตัวก็ดูจะภูมิใจเป็นอย่างมาก เปิดติวให้เพื่อนๆ อย่างเป็นเรื่องเป็นราวทุกคราวไป ...เมื่อการสอบผ่านพ้น ทุกคนจะยิ้มระรื่นด้วยสอบผ่านกันเกือบหมด จะเหลือก็แต่ม้ง ...ที่จะนั่งอ่านหนังสืออย่างขะมักเขม้นเตรียมตัวสอบแก้ตัวต่อ ...เจ้าตัวได้แต่บ่นกระปอดกระแปดว่า อาจารย์ไม่เข้าใจทฤษฎีที่เขาอธิบาย

ตัวเขาช่างอาภัพคล้ายไอน์สไตน์สมัยเรียนหนังสือ พวกเราก็ได้แต่ยิ้ม ...เวทนาม้งอยู่ในใจ


ด้วยความที่ม้งมีจิตใจหมกมุ่นอยู่กับความเป็นทหาร ใครมาชวนให้เป็นครูฝึกหรือร่วมกิจกรรมทางทหารต่างๆ ม้งจึงไม่เคยปฏิเสธ ...ด้วยความเป็นทหารที่อัดแน่นทุกอณูโลหิต อย่าได้เอาเรื่องผู้หญิงมาพูดกับม้งทีเดียว นักรบและอิสตรีเป็นจุดด่างพร้อยในประวัติศาสตร์ที่ไม่อาจไปด้วยกันได้ ...ผู้หญิงนำพาความอ่อนแอมาสู่นักรบ ม้งจึงปฏิเสธที่จะมอบหัวใจชายชาติทหารให้กับสาวคนไหน


เท่าที่ดูผิวเผิน ก็ดูเหมือนจะไม่มีสาวใดคิดอยากดูแลหัวใจม้งเช่นกัน


ความภูมิในตัวเองของม้ง หากเอามาต่อกัน เห็นทีจะแทงทะลุเมฆไปเสียบพระอาทิตย์ ...ความเชื่อมั่นของม้งสูงจนน่าใจหาย


กระทั่งเสียงกรนของม้ง ใครว่าเสียงเหมือนโรงสี ม้งจะมองด้วยตาเขียวปั๊ด แต่ถ้าบอกว่าเสียงกรนฟังแล้วยังคล้ายสันดาปท้ายเครื่องบินไอพ่น ...วันนั้นม้งจะเดินยิ้มไม่หุบไปทั้งวัน

ม้งไม่ได้บ้ายอ ...แต่ม้งรักของม้ง

ม้งจึงเชื่อมั่นว่า ...เป็นนักบินเอฟสิบหกอยู่ใกล้แค่เอื้อม และเจ้าตัวก็หลับฝันถึงมันทุกคืน

...........................................


จบชั้นห้าได้ไม่นาน เราก็ได้การ์ดแต่งงานของม้ง


งานแต่งงานของม้งเต็มไปด้วยสาว ๆ ไฮโซ สมกับที่เจ้าสาวเป็นแอร์โฮสเตสและเจ้าบ่าวเป็นนักบินการบินไทย ใช่ครับ…ม้งเป็นเพื่อนเราชุดแรกที่จบชั้นห้าแล้วลาออกไปเป็นนักบินการบินไทยม้งลืมทุกคำที่ม้งพูด

กูจะไม่แต่งงานก่อนอายุสี่สิบ ผู้ชายมันต้องใช้ชีวิตให้คุ้มซิวะ เรื่องอะไรจะหาห่วงมาสวมคอ ยังไง ๆ กูก็จะอยู่เป็นโสดคนสุดท้ายของรุ่น ม้งยืนยันหนักแน่น

มึงไม่อายพี่มึงเหรอ กูเห็นมึงกระแนะกระแหนอยู่ทุกวันสมัยเรียน




กูไม่อายหรอก เพราะพี่กูก็ลาออกมาบินการบินไทยพร้อมกูนี่แหละ ม้งตอบพร้อมยักกล้ามหน้าอกสองที

เพื่อน ๆ มองม้งอย่างปวดหัว นึกถึงคำพูดของม้งแล้ว อยากจับเจ้าสาวแก้ผ้า ถอดเอากระโปรงไปให้ม้งใส่ แต่ก็กลัวจะเป็นที่อุจาดตากันทั้งงาน


วันนั้นพวกเราเลยเปลี่ยนแผนกันถล่มม้งด้วยการฟาดเหล้าหมดทุกโต๊ะ รวมถึงโต๊ะพ่อตาของม้งด้วย นัยว่าให้หายแค้นที่หลอกด่าพวกเรามาตั้งนาน


จนวันนี้ ...ถึงแม้ว่าเราจะอภัยให้ม้งไปนานแล้ว แต่ก็ยังใช้มุขนี้หลอกกินเหล้าฟรีมาตลอด


รอให้การบินไทยซื้อเอฟสิบหกให้ม้งบินรับส่งผู้โดยสารกรุงเทพ โคราช (ภาคกลางบ้านม้ง)


แล้วพวกเราจะเลิกเหล้าฟรี โอเคไหมม้ง

วีรบุรุษ

คลองน้ำครำเหม็นคลุ้งทั้งคุ้งน้ำ
ร้อยพันธุ์ยุงอยู่ยามติดตามเฝ้า
เชื้อโรครุมยียวนให้ชวนเกา
ร้านข้าวต้มเจ้าเก่า อยู่ตรงนั้น

เย็นวันหนึ่ง ขณะเวลา เหล้าออกรส
และทุกโต๊ะเต็มหมดเหมือนอดกลั้น
ถึงสิ้นเดือนทั้งทีมีกินกัน
ที่อัดอั้นกันมาจึงฮาเฮ

ชั่วน้ำลายเม้าท์แหลกแตกฟองมัน
ก็ฉับพลันใครตะโกน ว่าตายเห่
แมวจรจัดพลัดตกหกคะเม
ลงไปว่าย นรกทะเล ที่มืดดำ












สันคอนกรีตสูงชัน เกินแมวไต่
สี่ตีนมันไหวไหว แรกก็ขำ
หลายนาทีเหมือนท้อ ว่ายรอกรรม
ทุกโต๊ะต่างร่ำร่ำ...จะเอาไง

ใจหายเศร้าหล้าผสม ขมไปหมด
อนาถสั่นรันทดอดไม่ไหว
น้ำก็เน่าแมวก็รอ พ้อกันไป
ทุกโต๊ะบีบหัวใจ...ทำไงดี

ไม่มีเลยสักคนขันอาสา
ทั้งคนเมาคนบ้าส่ายหน้าหนี
แมวหมดแรงจมร่วงห้วงนที
กรุงเทพสิ้นคนดี...กูโดดเอง...ตูม

ฝึก ฝึก ฝึก



หน้าเฉย จนชาชิน

เหงื่อไหลริน ไม่รู้สึก

ทหารแน่นในสำนึก

พรุ่งนี้ฝึก...ต้องรีบลา



เป็นธรรมดาของชีวิตนักเรียนทหาร นอกจากต้องคร่ำเคร่งในการเรียน พวกเรายังต้องฝึกวิชาทหาร ซึ่งสำหรับชั้นปีที่หนึ่งและสองแล้ว นั่นเป็นเวลาสบายๆ ของพวกเขา ที่จะได้หลุดไปจากโลกของหัวหน้า นักเรียนบังคับบัญชา รุ่นพี่ และนายทหารปกครอง


แต่สำหรับพี่ๆ ชั้นสาม ชั้นสี่ โดยเฉพาะชั้นปีที่ห้า มันช่างเป็นกิจกรรมที่น่าเบื่อมาก ฝึกซ้ำๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฝึกแบบเดิมทุกวัน...ทุกเดือน...ทั้งปี...ปีแล้วปีเล่า ใครบ้างจะไม่เบื่อ พวกที่คร่ำเคร่งกับเอกสารวิจัย จึงพยายามที่จะลากันในบ่ายวันพฤหัสแทบทุกอาทิตย์ แต่ใช่ทุกคนจะสมหวัง พวกที่ผิดหวังจึงต้องนั่งรอคอยฟ้าฝน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูฝน หวังว่าฟ้าฝนจะเป็นใจเทกระหน่ำลงมาตอนบ่ายสาม ซึ่งปกติบ่ายสามโมงครึ่งของวันพฤหัสจะเป็นวันฝึกวิชาทหารของพวกเรา


ฝึกวิชาทหารในโรงเรียน หลักๆ ก็แบ่งออกเป็นการฝึกบุคคลท่ามือเปล่าและการฝึกท่าอาวุธที่ประกอบกระบี่หรือปืนเข้าไป ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการฝึกแบบไหน ล้วนน่าเบื่อทั้งสิ้น...ฝึกบุคคลท่ามือเปล่าก็เช่นกัน ท่าวันทยหัตถ์ ท่าวิ่ง ท่าเดิน ซ้ายหัน ขวาหัน กลับหลังหันไปตามเรื่อง...ลองเอานักศึกษามาฝึกซ้ายหัน ขวาหันทุกๆ วันดู ผมว่าไม่ต้องถึงปีหรอก ฝึกซ้ำๆ สักสองเดือน ก็เห็นจะคลั่งตายกันไปเสียก่อน ...เป็นช่วงสภาวะที่กดดันทางไอคิวจนหัวแทบระเบิด... ไม่เข้าใจว่าเสียงเหล็กชิดเท้าจากรองเท้ากว่าร้อยคู่ต้องดังได้เพียงกริ๊กเดียว ...มันต้องสำคัญมาก เราถึงต้องฝึกซ้ำซากและจริงจังถึงขนาดนี้ ...มันคงชี้ขาดผลแพ้ชนะของสงครามได้เลยทีเดียว ...พวกเราคิด


การฝึกท่าอาวุธ แม้ไม่น่าเบื่อเหมือนการฝึกบุคคลท่ามือเปล่า แต่กลับเหนื่อยกว่าหลายเท่า แค่จับเวลาเบิกปืน พาแถววิ่งก่อนฝึกก็เล่นเอาแขนล้าขาสั่น ยังต้องมายืน


วันทยาวุธจับเวลาถือปืนด้วยมือเดียว ฝึกความอดทน ทดสอบความแข็งแกร่งจนตัวแอ่นเป็นกุ้งไปอีกหลายคน แต่เรื่องนี้ก็ได้สร้างชื่อเสียงต่อหน้าพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินี เมื่อครั้งสวนสนามราชวัลลภเป็นที่ภาคภูมิใจกันมาแล้ว


ครั้งนั้น ปลาวาฬหนุ่มร่างสูงตัวดำ หน้าตาคล้ายปลาวาฬอย่างที่เพื่อนเรียก เขาเป็นพลปืนสวนสนามแถวหน้า ซึ่งเป็นแถวที่สำคัญยิ่ง เนื่องด้วยแถวกองพันนักเรียนนายเรืออากาศรักษาพระองค์แทบจะอยู่ตรงหน้าพระพักตร์พระองค์ท่าน จะเยื้องมาทางด้านซ้ายก็เพียงเล็กน้อย


ทุกครั้งทุกวันของการซ้อม ปลาวาฬก็ไม่มีปัญหาจะเป็นลมเหมือนใครเขา ...แต่วันจริงนี่ซิ


วันนั้นอากาศร้อนเป็นปกติ ทุกคนสวมหมวกพู่ทรงสูงแสนหนักที่รัดศรีษะจนปวดตุ๊บตั้งแต่ขมับไปถึงท้ายทอย กองร้อยรักษาพระองค์แต่ละส่วน ต่างตั้งแถวรอเวลาในพื้นที่บริเวณพิธีด้วยท่าตรงประกอบอาวุธ ต่างยืนกันตัวแข็งทื่อเหมือนรูปปั้นไร้ชีวิตหลายชั่วโมงก่อนพระองค์ท่านเสด็จและกำหนดพิธีจะเริ่ม


และเมื่อลำดับพิธีดำเนินไปจนเกือบเสร็จสิ้นถึงขั้นตอนส่งเสด็จ พวกเราต้องถวายความเคารพด้วยท่าวันทยาวุธที่ยาวนานอีกครั้ง


...นาน...นาน...นานจนกระทั่ง ...โอ๊ก! เสียงดังมาจากแถวหน้า ไม่มีใครหันไปมอง ทุกคนถูกฝึกให้นิ่ง นิ่งทุกสภาวการณ์ มีเพียงสามสี่คนข้างตัวปลาวาฬที่เหล่ด้วยหางตา สำรวจว่ามีอะไรเกิดขึ้น ...แต่มุมมองที่จำกัด ก็บอกได้แค่ว่ามีอาหารหลายชนิดของมื้อเช้าทะเลาะเบาะแว้งกับกระเพาะและลำไส้ ทะลักไหลมากองท่วมรองเท้าคอมแบท และเปรอะเปื้อนกระบอกปืน เสื้อผ้า และลำคอของปลาวาฬ


...แต่ปลาวาฬยังคงยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว...เปลือกตาปลาวาฬเผยอเปิดเล็กน้อย มีเพียงตาขาวลอยอยู่และแอบซ่อนตาดำไว้อย่างมิดชิด ...แต่ปลาวาฬก็ยังนิ่ง แวบนั้นเรา


ได้เห็นรอยยิ้มน้อยๆ จากพระพักตร์พระองค์ท่าน เป็นรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยพระเตตาจนเราอิ่มเอม ใจพองและขนลุกซู่...แถวหน้าทุกคนยังไม่เคลื่อนไหว...ไม่มีสิ่งใดเคลื่อนไหว


ผ่านไปหลายนาที...


พระองค์เสด็จประทับรถยนต์พระที่นั่ง รถค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากปะรำพิธี เพลงสรรเสริญพระบารมีบรรเลงถวายพระพร


...ทันทีที่ความสนใจถูกเคลื่อนไปอีกจุดหนึ่ง เพื่อนข้างหลังกระชากปลาวาฬลงมาอีกคนเข้าเสียบแทนตำแหน่ง รวดเร็วเกินกว่าจะสังเกตเห็น


............................................


กลางแถว สองคนที่กระหนาบข้างล็อคแขนปลาวาฬไว้คนละด้าน ต่างยังแบกอาวุธในท่าเดินไว้ด้วยมือข้างเดียว สายตามุ่งมั่นมองตรงไปข้างหน้า อีกคนดึงเอาปืนของปลาวาฬไปถือ...แถวทหารเดินออกจากลานพิธีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น..แต่หากใครสักคนจะสังเกตอย่างพินิจแล้ว จะเห็นชายคนหนึ่งถูกล็อคแขน คอพับ ปลายเท้าลากครูดกับพื้นถนนไปในแถวทหารนั้น


อาทิตย์ถัดมาสาสน์จากฑูตานุทูตหลายประเทศ ทยอยส่งกันมาชื่นชมกองพันสวนสนามนักเรียนนายเรืออากาศรักษาพระองค์ และปลายอาทิตย์นั้นเอง สิ่งที่เราไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อพระราชสาสน์จากสมเด็จพระราชินีมาถึง ...ข้อความที่ท่านผู้พันอ่านให้ฟังทำเอาพวกเราซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณจนน้ำตาไหล


ปลายปีนั้นปลาวาฬก็จบปริญญาตรีรามคำแหง ที่ตัวเองแอบไปลงเรียนไว้ และไม่กี่เดือนต่อมา ปลาวาฬก็จากอ้อมอกรั้วโรงเรียนนายเรืออากาศ ไปเป็นนักบินการบินไทย ทิ้งให้เพื่อนๆ ฝ่าฟันไล่ตามความฝันในรั้วโรงเรียนกันต่ออย่างน่าสงสาร


เอาเป็นอันว่า ถ้าท่านเห็นนักบินการบินไทยตัวดำๆสูงประมาณร้อยเจ็ดสิบเจ็ด รูปร่างไม่อ้วนไม่ผอม หน้าตาปลาวาฬ ๆ คนนั้นล่ะ ปลาวาฬของพวกเรา