2552-04-30

ปล่อยหลอก

สำหรับนักเรียนทหาร หลังจากก้าวเท้าเข้ามา ณ ที่แห่งนี้ ระเบียบชีวิตของทุกคนจะถูกนำมาจัดระบบใหม่ ตั้งแต่หัวจรดเท้า บุคลิกเดิมของแต่ละคนจะถูกโยนกองทิ้งไว้หน้าโรงเรียน ต่างต้องมาเรียนรู้กันใหม่ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนกระทั่งปิดตาหลับ ทุกนาที ทุกย่างก้าว ทุกมุมมอง ทุกสรรพสิ่งที่ผ่านเข้ามาในโสตประสาทรับรู้ทั้งมวล ล้วนต้องผ่านการฝึก อากัปกิริยาอาการ สีหน้าท่าทาง การแสดงความรู้สึก ...กระทั่งหายใจ...ต้องฝึก ...ฝึก...ฝึก...แล้วก็ฝึก นักเรียนทหารจะต้องควบคุมสติตัวเองได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงในทุกๆ สภาพการณ์...นั่นคือจุดหมายปลายทางที่ถูกกำหนดไว้

ตีห้ายี่สิบ เสียงแตรปลุกดังผ่านระบบกระจายเสียง นักเรียนเตรียมทหารปีหนึ่งผุดลุกขึ้นจากเตียง เปลี่ยนชุดนอนเป็นชุดพละ (ที่ได้เตรียมเอาไว้ตั้งแต่ก่อนนอน) และเพียงเข็มวินาทีขยับหมุนได้ครึ่งรอบ กว่าครึ่งกองพันก็หลุดออกจากบันไดตึก พร้อมเข้าแถว ในขณะที่บางส่วนยังมือสั่นเก็บที่นอนหมอนผ้าห่มไม่เสร็จ (พวกไม่โผหรือพวกที่ไม่ได้แอบเตรียมไว้ล่วงหน้า) รองเท้าถุงเท้าพละคว้ามาก่อน ค่อยหาทางใส่เอาทีหลัง... จะผิดข้างถูกข้างช่างมันเถอะ


“10 9 8...3 2 1 หมอบ ! นอนหงาย ดันขึ้นมาหลายท่านอาจนึกภาพไม่ออก เอาง่ายๆ ก็คือ ท่าสะพานโค้งนั่นเองครับ


หอยทากคลานถึงเชียงใหม่แล้ว เมื่อไหร่จะจัดแถวเสร็จ ชักช้าอย่างนี้จะไปทำอะไรกิน เอ้า ! ใช้มือดันดีๆ ไม่ชอบใช่มั้ย หัวปัก มือกอดอก อย่าให้เห็นอู้ ไม่งั้นเจอเราแน่คำว่า เจอเราแน่ เป็นอีกคำหนึ่งที่น่าสะพรึงกลัวของพวกเรา ซึ่งมีความหมายว่าอาจถูกแยกไป ถูกทำโทษเดี่ยวตัวต่อตัว หรือเป็นกลุ่มเล็กๆ หรือก็คือ จะเหนื่อยขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่านัก จึงเป็นอะไรที่ใช้ขู่พวกเราได้ดี


...แม่ง หอยทากบ้านเพ่... หรือไงคลานไวขนาดนั้น ได้แต่คิดในใจ มองดูหน้าเพื่อนซ้ายขวาที่ตีลังกาหัวปักตาเหลือกอยู่ ก็คงคิดไม่ต่างกัน บรรดาสัตว์เลื้อยคลานสี่เท้าลักษณะคล้ายน้องชายจระเข้ออกมาวิ่งเพ่นพ่านกลาดเกลื่อนในความเงียบ ไม่มีแม้เสียงพึมพำ เพราะต่างรู้ดีว่า แม้เสียงหายใจที่ฟืดฟาด ก็อาจทำให้ชีวิตเลวร้ายไปว่านี้


เอ้า! อู้ๆ อย่างนี้ ไม่อยากวิ่งออกกำลังใช่มั๊ย

นับหนึ่งถึงสองร้อยคนนึง

สิ้นเสียงสั่ง หลายคนรีบนับเสียงดังลั่น ก่อนจะยกให้คนที่เสียงดังที่สุดนับต่อไปจนจบ (เพราะรู้ตัวเองว่ายิ่งนับยิ่งเหนื่อย) หายใจไม่ทัน เลยให้เพื่อนนับดีกว่า...


“ A ถึง Z“

ยังไม่มีปัญหา...ไม่ยาก


“Z ถึง A “

หลายคนทรุดไปแล้ว

แต่ก็ยังมีต้นเสียงที่เตี๊ยมกันมาอย่างดี ท่องไปได้จนจบด้วยความรวดเร็ว...พวกเราทิ้งร่างลงไปอย่างหมดแรง


ใครสั่งให้เอาลง ดันขึ้นมา แค่นี้อย่ามาทำสำออย ไอ้พวกลูกแหง่


...ไอ้คูเพื่อนซี้ทำหน้างงๆ แม่มันดำนาอยู่บ้านคงสำลักข้าวกับน้ำพริกเป็นแน่ หากได้ยินประโยคนี้เข้า...


บรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความเห็นแย้งที่แตกต่าง ครอบคลุมพวกเราอยู่ทุกวี่วัน... เวลานอกรั้วพระรามสี่อาจผ่านไปเพียงสองอาทิตย์ แต่เวลาข้างในนรกอันเดือดระอุนั้น นานจนเต่าตายไปแล้วเกิดใหม่มาตายได้อีกหลายรอบ


เช้าแรกของอาทิตย์นี้ มีข่าวดีแว่วเข้าหูมาว่า อาทิตย์นี้จะเป็นอาทิตย์แรกที่ปล่อยกลับบ้าน ไม่ว่ามันจะเป็นข่าวลวงหรือไม่ กำลังใจที่แทบไม่เหลืออยู่ก็กลับมีขึ้นอย่างเต็มเปี่ยม แรกๆ พวกเราต่างก็ไม่เชื่อ ยังสงสัยว่าเป็นแค่สถานการณ์ที่สร้างขึ้น แม้นายทหารปกครองจะออกมายืนยันและปรามว่าอย่าหลงลำพอง เพราะจะมีแค่บางส่วนที่ไม่ทำความผิดเท่านั้นที่จะได้ออกไป...เราก็ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ส่วนเพื่อนบางคนก็บอกว่าเขาหลอกอย่างนี้ทุกรุ่นพี่มันบอกมา แต่ผมก็เห็นมันเตรียมเก็บกระเป๋ากลับบ้านก่อนเพื่อนเลย พอถามมัน มันก็บอกว่าเตรียมไว้ไม่เสียหลาย...ฮ่วย!


จนกระทั่งวันพฤหัสไปเรียนที่ฝั่งกองการศึกษา อาจารย์ทุกต่างแสดงความยินดีกับการได้ปล่อยกลับบ้านครั้งแรก เราจึงมั่นใจว่าที่นายทหารปกครองพูดเป็นเรื่องจริงที่จะเกิดขึ้นในเย็นวันศุกร์ที่ใกล้เข้ามา อาจารย์ท่านก็ยิ้มแสดงความยินดีอย่างใสซื่อบริสุทธิ์ ราวกับท่านเคยสอนที่ครั้งแรก


สำหรับนักเรียนทหาร ฝั่งกองการศึกษา เป็นเสมือนที่พึ่งพิงทั้งกายและใจ เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรที่คอยปกป้องเราจากบรรดารุ่นพี่นักเรียนบังคับบัญชา และนายทหารปกครอง ที่ต่างเกรงใจอาจารย์ไม่เข้ามายุ่มย่ามกับพวกเรามากนัก อาจารย์ทุกคนก็เปรียบเหมือนพ่อพระแม่พระอันเป็นที่รักยิ่ง คำพูดทุกคำของท่านจึงเชื่อถือได้... ทุกคนจึงตั้งตารอคอยวันศุกร์และระมัดระวังตัวเอง ที่จะไม่ทำผิดในเรื่องใดๆ


แสงตะวันยามเช้ารอคอยเราอยู่ข้างนอก... คืนนั้น ทุกคนหลับเหงื่อท่วมกายแต่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม อาทิตย์ยังไม่แตะขอบฟ้าเวลาเช้าของนักเรียนเตรียมทหารก็มาเยือนอีกครั้ง


หมอบ! เตรียมตัวตะกายตึก ... 50 ยกสงสัยล่ะซิ ว่าท่ามันเป็นอย่างไรไอ้ตะกายตึกเนี่ย... ลองนึกภาพมนุษย์แมงมุมที่กำลังไต่ตึกระฟ้าในโปสเตอร์โฆษณา แขนสองข้างยึดผนังอาคาร ขาข้างหนึ่งเหยียดตรงอีกข้างงอออกทางข้างหัวเข่าแทบชิดอก เพื่อยันตัวให้คืบคลานขึ้นไป ผิดแต่ว่าไอ้ตึกที่มนุษย์แมงมุมไต่ ก็คือ พื้นดินและเราทำอยู่กับที่ไม่มีการเคลื่อนไปข้างหน้า บางคนเรียกท่านี้ว่า ซาลามานเดอร์ พี่บางคนก็เรียกว่าท่าแย้ แต่พวกเราคนปฏิบัติพร้อมใจที่จะเรียกมันว่า ท่าเหี้ย... ผมทำไปยิ้มไป ก็วันนี้จะได้กลับบ้านแล้วนี่ กำลังใจจึงท่วมท้น เรียวแรงพญาควายที่เก็บซ่อนไว้ถูกนำมาใช้โดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย


ยิ้มหาสวรรค์วิมานอะไร มีความสุขมากใช่มั๊ย ลุก!”

เสียงประกาศิตดังอยู่เหนือศรีษะข้างหน้าผม ผมทะลึ่งพรวดขึ้นยืนเท่ห์ ก่อนจะทิ้งฮวบลงไปหมอบตามเสียงสั่ง


หมอบ นอนหงาย ดันขึ้นมา ตะกายตึก 50 ยก

อย่าเพิ่งงงนี่เป็นการประยุกต์ท่าลงโทษสองท่าเข้าด้วยกัน เพื่อให้มันพิสดารทุลักทุเลและทรมานยิ่งขึ้น แม้ขาและแขนสองข้างของผมจะสั่นระริก ซึ่งไม่แน่ใจว่า คือ

อาการดีใจจนเนื้อเต้นที่จะได้กลับบ้านครั้งแรก หรือเป็นผลข้างเคียงจากท่าแบกโลกตะกายตึก แต่ผมก็มีความสุขกับการรอคอย


เย็นนั้นนักเรียนบังคับบัญชา ดูจะใจดีเป็นพิเศษ ให้เราอาบน้ำนานกว่าปกติ พวกเราจึงได้ถูสบู่ตัวหอมกันถ้วนทั่ว... หนำซ้ำยังช่วยจัดโน่นจัดนี่ ดูแลความเรียบร้อยและความประณีตในการแต่งกายของพวกเราทีละคน เรียกว่าฉากนี้เล่นเอาซึ้งน้ำตาไหล ชุดนักเรียนใหม่ถูกนำมาใส่สำหรับการปล่อยกลับบ้านครั้งแรก เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาว หัวเข็มขัดทอง คาดทับกางเกงขาสั้นสีดำ ถุงเท้าดำดึงสูงครึ่งน่อง ประกอบกับรองเท้าหนังหุ้มส้นสีดำมัน ยิ่งคนใส่ตัวดำเพราะแดดเผา ผมสั้นกว่าหัวก้านไม้ขีด หน้าตาอมทุกข์ไว้ทั้งโลก ถือกระเป๋าเจมส์บอนด์ด้วยมือซ้าย มือขวากำพอหลวมๆ ดูไกลๆ นึกว่า...กำนัน และชุดเดียวกันนั้น ถ้าไปเดินสยาม... พวกเรียกคนบ้า


การตรวจเครื่องแต่งกายผ่านไปอย่างเรียบร้อย แถวกองพันนักเรียนใหม่ตั้งขบวนเดินผ่านตึกนอนไปหน้าประตูโรงเรียน พี่ ๆ สองข้างตึกตะโกนแสดงความยินดี บ้างก็อวยพร ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ กลับมาปลอดภัย พร้อมกับหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน จนเราชักไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกันว่าจริงหรือหลอก บ้างก็ขู่ว่าเข้ามาวันอาทิตย์เจอกันแน่... แต่เวลานั้น เราได้แต่ยิ้มในหน้าอย่างมีความสุข จะแสดงอาการลิงโลดมากกว่านั้น ก็เห็นจะโดนดีฐานยิ้มในแถว


หน้าประตูโรงเรียน คนคุมแถวนำกล่าวปฏิญาณลาเสด็จปู่รัชกาลที่ห้า ทุกคนปฏิญาณอย่างเข้มแข็ง...เสียงดังสะเทือนไปทั่วถนนพระรามสี่ คนสองฟากถนนที่เดินผ่านสะดุ้งและหยุดยืนดู... เรานักเรียนใหม่กำลังจะกลับบ้านแล้ว


สิ้นเสียงคำปฏิญาณ นักเรียนบังคับบัญชาสั่งเลิกแถวไม่ทันที่แถวจะแตกกระจายออก รถในราชการทหารวิ่งด้วยความเร็วสกัดขวางหน้าพวกเราไว้ นายทหารปกครองน่าตาเคร่งเครียดเหงื่อซึมเต็มใบหน้า เปิดประตูออกมาพร้อมโทรโข่งสนามหนึ่งตัว (ทั้งที่เสียงเขาปกติก็ดังปานฟ้าผ่า) เขาประกาศด้วยเสียงที่สะกดทุกคนนิ่งเป็นปลาตาย


นักเรียนใหม่ทุกคนทราบ ขณะนี้เกิดความไม่สงบ รัฐบาลประกาศภาวะฉุกเฉิน ให้ทหารทุกหน่วยเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น เปลี่ยนรหัสฉุกเฉินเป็นสีส้ม คงกำลังในหน่วยร้อยเปอร์เซ็นต์ ..นักเรียนใหม่ตั้งแถวกลับตึก


คนข้างนอกรั้วโรงเรียนทำหน้าเหรอหรา แต่ไม่บอกก็รู้ นี่มันมุขชัดๆ แข้งขาเราอ่อนเพลีย เวลาที่สู้รอคอยมาตลอดทั้งอาทิตย์ปลิวหายเหมือนใบไม้แห้งที่หลุดจากกิ่ง ถ้าเป็นฉากในหนังการ์ตูน ก็จะเป็นตอนที่พระอาทิตย์ดวงสีส้มกำลังตกดิน ลมพัดกระทบหน้าพระเอกจนผมปลิวไสว จะผิดกันก็แต่... พระเอกตัวจริงหัวล้าน และมีน้ำตาอาบแก้ม


แถวทหารที่เศร้าสร้อยเดินซึมกระทือกลับตึกนอนอีกครั้ง พี่ๆ สองข้างตึกโห่และประชดเสียดสีให้เจ็บปวด ต่างไปจากตอนเดินออกเหมือนคนละคน จนเรายังสงสัยว่าใช่พี่ๆ กลุ่มเดิมหรือเปล่า... บ้างเห็นพวกเราเดินน้ำตานองหน้ามา ก็หัวเราะกันท้องแข็งดิ้นพราดๆ อยู่บนขอบระเบียง มิวายซ้ำเติมให้เจ็บใจยิ่งขึ้น... สารพัดถ้อยคำพรั่งพรูให้เจ็บแสบ ...น้ำตาผมเริ่มซึมแล้ว


เย็นนั้นข้าวโรงลี้ยงเหลือทิ้งจนหมายิ้ม ต่างกินกันไม่ลง ...ก้อนแข็งๆ อุดตันอยู่เต็มลำคอ อัดอั้นเกินกว่าจะบรรยายความรู้สึกข้างในได้...อาทิตย์ที่ขมขื่นกลับมาอีกครั้ง



พวกเราลืมที่จะฝัน และไม่คิดฝากความหวังไว้กับสิ่งใดใดอีก

แทนคุณ


ยื่นคอ เข้ารับคม
ขื่นขม และเจ็บแค้น
จำใจ ต้องทดแทน
คุณคน เคยค้ำคอ

ชีวิต หนี้ชีวิต
ผิดไม่ผิด อย่าคิดต่อ
แทนคุณ แค่หนึ่งคอ
ค้ำต่อ กี่ชีวิต

เลือดเนื้อ อัศวิน
กลืนเลือดกิน ฟ้าลิขิต
ชีวิต แลกชีวิต
ฟ้าลิขิต ย่อมยุติธรรม

คดีข้าวกล่องในถุงดำ


ดุ่ยเป็นเด็กหนุ่มบ้านนอกจากเมืองไอ้เท่งพัทลุง ลักษณะเด่นคือตัวดำ ฟันขาว และยิ้มง่าย แม่ของดุ่ยเป็นเจ้าของร้านขายข้าวแกงชื่อดัง ซึ่งถ้าคุณเข้าไปถึงตัวตลาดแล้วละก็ ลองถามหาร้านข้าวแกงแม่ดัง รับรองว่ารู้จักกันทั้งอำเภอ... ก็ไม่รู้ว่าเพราะแกงอร่อย หรือเพราะแม่ดุ่ยขายหวย


ด้วยวิญญาณของนักขาย ที่สืบทอดมาโดยสายเลือด ดุ่ยเล็งเห็นว่าการแอบลักลอบขายข้าวกล่องกระเพราหมู มาม่าผัด และข้าวไข่เจียวให้กับเพื่อน ๆ ยามดึก น่าจะช่วยแบ่งเบาภาระทางบ้านดีกว่าให้แม่ขายนาส่งควาย เอ๊ย ขายข้าวแกงส่งลูกชายเรียน จริง ๆ ดุ่ยเรียนดีครับ ด้วยวุฒิ ม. 6 ที่สอบเทียบลอก ๆ เขามา ทำให้ดุ่ยเอนท์ติดวิศวชลประทาน ม.เกษตรอีกแห่งหนึ่ง ...แต่อนิจจาวาสนาไม่ถึง ข้าวแกงปีนั้นขายไม่ใคร่ดีนัก ไม่ติดหลักร้อยล้านเหมือนเช่นทุกปี ด้วยความเป็นลูกกตัญญู ดุ่ยเลยตัดสินใจเข้าเรียนเตรียมทหาร เพื่อให้มีค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด... ที่ลือกันว่าแม่ดุ่ยยัดเงินใต้โต๊ะสี่แสนจึงไม่จริง

กิจการพ่อค้าคนกลางของดุ่ย ซึ่งทำตัวเป็นพ่อค้าของเถื่อน รับข้าวกล่องมาค้ากำไรยามดึก เป็นไปได้อย่างราบรื่นอยู่หลายอาทิตย์ จนเพื่อน ๆ ต่างอิ่มหมีพีมัน อ้วนพุงพลุ้ย ผิดจากที่ควรเป็น เป็นเหตุให้หัวหน้า (นักเรียนบังคับบัญชา) เริ่มตั้งข้อสังเกต กระทั่งคืนหนึ่ง จักรยานของสามีแม่ค้าที่เป็นเจ้าของสัมปทานร้านอาหารในสโมสร ปั่นผ่านหน้านักเรียนบังคับบัญชาในระยะใกล้ กลิ่นขยะในถุงหอมโชยจนหมายิ้ม จักรยานค่อย ๆ ชะลอความเร็วและหยุดลง ณ จุดนัดหมาย เจ้าตัววางถุงทิ้งไว้ที่เดิมเหมือนเช่นทุกคืน แต่คราวนี้ไม่ได้รอดพ้นไปจากสายตาของหัวหน้าผู้ซึ่งรอคอยจังหวะจับผิด หาเรื่องซ่อมพวกเราอยู่แล้ว... ใครมันจะทิ้งขยะที่ตึกนอนของนักเรียนชั้นหนึ่งตอนดึก...พิรุธชัด ๆ ข้าวกล่องหอมอร่อยน่ากินในถุงขยะตกเป็นของกลางที่ดิ้นไม่หลุดทันที... เสียงเรียกรวมพลกระหึ่มโรงนอนนักเรียนชั้นปีที่หนึ่ง


จากนั้นสารพัดท่าลงโทษก็ตามมา กลิ้งเกลือกกันลิ้นห้อย หูตูบ ...แดกดันกันจนสาแก่ความผิดล่ะครับ (แดก คือ การลงโทษหรือการซ่อมของนักเรียนทหาร) ...สองชั่วโมงผ่านหัวหน้าคงเพิ่งนึกได้ถึงได้ถามว่า “ของใคร ?”
ทำไมไม่ถามตอนชาติหน้าก็ไม่รู้

อย่างไรก็ตาม ระบบเกียรติศักดิ์ของดุ่ยยังดีเยี่ยม ลูกผู้ชายทำผิดต้องยอมรับ ดุ่ยกระเด้งออกมาหน้าแถวทันที (ส่วนใครจะถีบออกมาหรือเปล่านั้น เราไม่ได้สงสัย)... แล้วดุ่ยของเราก็รับกรรมที่ก่อเพียงลำพัง ส่วนคนอื่น ๆ ได้รับความปราณีปล่อยให้นอนทั้งเสื้อผ้าโชกเหงื่อ ห้ามอาบน้ำเหมือนเคยเป็นสาวๆ คงชอบใจได้เป็นปอดบวมกันทั่วหน้า ไม่ต้องน้อยเนื้อต่ำใจเวลาใครเขาสงสัยว่าทำไมไม่หันหน้ามาคุย ให้รู้กันไปเลยชัด ๆ ว่านี่ข้างหน้านะยะหล่อน ไม่ใช่ข้างหลัง

คืนนั้น ดุ่ยโดนอะไรบ้างพวกเราไม่รู้ เพราะแค่ที่พวกเราโดนก็อ่วมอรทัย ชนิดที่ถึงเตียงหัวฟาดหมอนก็หลับทันที ไม่มีใครได้อุดหนุนข้าวกล่องของดุ่ย และไม่รู้ว่าดุ่ยทำอย่างไรกับข้างกล่องพวกนั้น... รู้แต่เพียงว่า รุ่งเช้าเราพบหมาตายท้องกลมอยู่ข้างตึก... สงสารลูกของมันเหลือเกิน

...แต่เอ๊ะ ! นั่นมันหมาตัวผู้นี่หว่า... ฮา

กระเป๋าของพระเอก

ในการเข้าและออกจากโรงเรียนแต่ละอาทิตย์ ของนักเรียนทหารนั้น สิ่งหนึ่งที่ขาดเสียไม่ได้นอกเหนือไปจากเครื่องแบบ ก็คือกระเป๋าหนังสีดำที่พวกเราเรียกกันว่า เจมส์บอนด์” (ส่วนที่มาว่าทำไมถึงเรียกอย่างนั้น นั่นผมก็ไม่ทราบได้)


อะไรอยู่ในกระเป๋าเจมส์บอนด์? เคยสงสัยกันบ้างไหมครับ ไอ้หนุ่มนายร้อยที่ยืนทำหน้าญาติหาย เหงื่อไหลซิกหน้าป้ายรถเมล์ มือซ้ายถือเจมส์บอนด์แขนสั่นริก ๆ ประหนึ่งเป็นโรคพาร์กินสัน มือขวากำหลวม ๆ พร้อมต่อยหมาทุกตัวที่หลงผิดคิดว่าเสาไฟฟ้า หมายประกาศศักดาแสดงเขตอิทธิพลฉี่รดพ่อโรบอท...เขาเป็นพระเอกของเรา


บนรถเมล์...พระเอกของเราขึ้นไปยึดทำเลยืนเท่ห์ตอนกลางคัน แม้รถเมล์ในกรุงเทพจะเหยียบมิดไม่คิดถึงยมบาล เบรกหัวทิ่มดั่งเข้าใจว่ากำลังขับช็อปเปอร์ แล้วมีนักศึกษาสาวซ้อนท้าย พระเอกของเราก็ยังยืนเกร็งนิ่งปานลิงตาย หาได้กระดุกกระดิกให้เสียบุคลิกไม่ เวลานั้นพระเอกของเราคิดว่า...หนักชิบเป๋ง ทั้งคันรถจะไม่มีคนที่มีที่นั่งใจดี ช่วยแบ่งเบาเอาไปถือให้เลยเหรอ...


สายตาแอบสอดส่ายผ่านกระบังหมวก...อืม ทางซ้ายเด็กช่างกล...ดูหน้าตาก็รู้ยี่ห้อขืนเข้าไปใกล้ ๆ อาจโดนเสียบเอาง่าย ๆ...ทางขวาก็คุณป้า เพิ่งกลับจากตลาดกลิ่นปลาสดยังคลุ้ง กระเป๋าได้เหม็นไปสามวัน... ถัดไปอีกเบาะก็เด็กเจ็ดขวบ กระเป๋าอาจทับเด็กตาย ... ข้างหลังยิ่งไม่น่าไว้ใจ โจรแน่ ๆ ...อ่ะ นั่นนักศึกษาสาวท่าทางเรียบร้อยใจดี อืม คนนี้น่าจะพอฝากผีฝากไข้ได้... ว่าแล้วพระเอกก็เดินเข้าชิด


แล้วประเป๋าของพระเอก ก็เริ่มกะหลิ่มกะเหลี่ยเข้าไปใกล้ชายกระโปรงเจ้าหล่อน...ทีละนิด ๆ แต่ดูเหมือนเจ้าตัวที่หมกมุ่นอยู่กับนิตยสารคู่สร้างคู่สมจะยังไม่รู้สึกตัว ยังคงก้มหน้าอ่านเฉย เหมือนไม่ได้สังเกต พระเอกของเราเริ่มหงุดหงิด แกล้งเอากระเป๋าแตะขาเจ้าหล่อน...แน่ะ ๆ ยังเฉย.. อีกทีซิ... ยัง ยังเฉย... พระเอกของเราเลยรัวไปหนึ่งชุด... ได้ผล เธอเงยหน้าขึ้นมอง พระเอกของเราส่งยิ้มน้อย ๆ ขยับกระเป๋าเตรียมยื่นให้เจ้าหล่อน ที่ไหนได้คุณเธอกลับเมินหน้าหนี ยกขาขึ้นไขว่ห้างหลบเข้าด้านใน เด็กสาวสมัยนี้ ทำไมใจดำกันนักนะ...พระเอกคิด


ผ่านไปอีกหลายป้าย คนบนรถทวีเบียดเสียดทุกครั้งที่จอด อัดกันแน่นยิ่งกว่าปลาซาดีนกระป๋องในซอสมะเขือพวง เอ๊ย มะเขือเผา เอ๊ย มะเขือเทศ ... โอย แย่แน่ ๆ พอเริ่มแก่ สมองก็เริ่มเลอะ ๆ เลือน ๆ


ผีซ้ำด้ามพลอย คราวเคราะห์ซึ่งรอคอยโอกาสสำหรับผู้ไม่รอบคอบ หลงลืม ไม่ได้หมุนรหัสเปิดกระเป๋าให้เลื่อนไปจากรหัสจริง...เบียดกันไปเบียดกันมา...กระเอกก็ท้อง เอ๊ย ไม่ใช่ เจมส์บอนด์ของพระเอกของเราก็เปิดผลัวะออกมาในจังหวะที่คนขับเหยียบเบรกหยุดรถกะทันหัน ส่วนจะเบรกให้หมาเดินข้าม หรือหยุดซื้อพวงมาลัยไปคล้องคอนักร้องก็ช่างเถอะครับ แต่ที่แน่ ๆ ทุกอย่างในกระเป๋า กระจายออกสู่สายตาประชาชน วินาทีนั้น สุดจะบรรยายขอรับ...พระเอกแทบแทรกแผ่นดินหนี


...กางเกงในสีเดียวกับที่ซุปเปอร์แมนใช้ออกมายิ้มทักทายสาวๆ... เด่นเป็นสง่าดับรัศมีตำราแคลคูลัสและพลพรรคหนุมานสีอื่นไปอย่างไม่เห็นฝุ่น... ในกระเป๋านักเรียนจะมีอะไรนอกตำราและเสื้อผ้าที่เอากลับไปซัก


ควันจากท่อไอเสียจางไปแล้ว...บ้านยังอีกไกล... พระเอกของเราตั้งต้นยืนตายซากรอรถสายเดิมอีกครั้ง... ก็ใครจะหน้าหนาทนโหนรถคันเดิมกลับ เหมือนตอนผมผายลมส่งกลิ่นคลุ้งไปทั้งคันคงไม่มี ...เรื่องของความมั่น พูดกันได้เสียที่ไหน.. จริงไหมครับ

เส้นทางลูกผู้ชาย

ความใฝ่ฝันของเด็กผู้ชายแต่ละคนผมเชื่อว่าคงจะแตกต่างกัน ในความแตกต่างนั้น คงจะมีอยู่จำนวนไม่น้อยที่ใฝ่ฝันจะคว้าดาวมาประดับบ่า เป็นนักเรียนนายร้อยโก้หรูดูเท่ห์ในสายตาสาวๆ ผมเองก็เลือกทางสายนั้น อาจเพราะชอบความท้าทาย ชอบที่จะทำงานเสี่ยง ๆ ได้ทำอะไรที่ทำได้ยาก อิสรเสรีดั่งนก อ้าวก็เป็นนักบินมันเท่ห์อยู่เสียเมื่อไหร่ล่ะ เอาเถอะ อย่างน้อยมันก็ดีที่สุดเท่าที่เด็กบ้านนอกอย่างผมจะคิดได้ล่ะนะ


ทันทีที่จบมัธยมศึกษาปีที่สี่ ผมก็ขอพ่อกับแม่มาสอบเข้าเตรียมทหารในส่วนกองทัพอากาศ ดูท่านทั้งคู่ไม่ค่อยจะสนับสนุนเท่าไหร่นัก... ท่านไม่อยากให้เป็นทหารผมรู้ ก็ผมมันประเภทหัวแข็ง ดื้อตาใส ท่านกลัวจบแล้วจะเข้าไปอยู่แนวหน้า ชิงจากท่านไปเสียก่อน ซึ่งไอ้นิสัยอย่างนี้ผมก็รับมาจากท่านนั่นแหละ อย่างไรก็ตามท่านก็ให้ผมเดินทาง เข้ากรุงเทพไปสอบ

พระเจ้า จริง ๆ ผมอยากตะโกนว่า พระพุทธเจ้านะ (แต่คิดดูแล้วมันทะแม่ง ๆ ไปหน่อย) ผมดีใจจนเนื้อเต้น ที่พ่อแม่อนุญาต เอ หรือเพราะจะได้เข้ากรุงเทพก็ไม่รู้แต่สอบไม่ติดครับ ไม่ผ่านแม้แต่รอบแรกนั่งรถไฟกลับบ้านคอตกไปเลย


ที่บ้านพ่อกับแม่ยิ้มแฉ่งคอยรับอยู่


ไม่เป็นไรลูก ลูกทำดีที่สุดแล้ว

คำพูดกับสีหน้าไม่ได้ไปด้วยกันเลย ผมได้แต่ยิ้มตอบแม่ ในใจก็นึกว่าเก็บ ๆ อาการหน่อยได้มั๊ย แต่ก็ได้แค่นึกละครับ


ผ่านไปหนึ่งปี ความหวังยังไม่จางหายไปจากหัวใจ ผมกลับเข้าสู่สนามสอบอีกครั้ง คราวนี้ไปอย่างนักรบข้างถนน ผมลืมบอกทุกท่านไปว่าพ่อแม่ผมเป็นครูบาอาจารย์ด้วยกันทั้งคู่ และผ่านชีวิตลำบากยากจนมาตั้งแต่วัยเด็ก โดยเฉพาะพ่อ เพราะฉะนั้นท่านจึงมักมีบททดสอบอันเข้มข้นมาทดสอบกับลูก ๆ ของท่านเสมอ แม้ว่าฐานะทางบ้านเราก็พอมีอันจะกิน แต่การขึ้นมาสอบคราวนี้พ่อพาผมไปฝากไว้กับวัดแถวๆ บางลำพู ท่านยังคำนวณค่ากินอยู่ ค่ารถกลับและเผื่อเหลือเผื่อขาดให้อีกนิดหน่อยให้ผมเก็บไว้ แล้วท่านก็กลับไปบ้าน



ชีวิตเด็กวัดผมก็คุ้นชินมาบ้างสมัยเด็ก ๆ ตอนอยู่บ้านนอก แต่เด็กวัดในกรุงเทพนี่ต่างออกไป มีการแบ่งสายกันอย่างชัดเจนใครสายไหน เด็กใคร ผมเด็กใหม่ไม่มีสิทธิ์เลือกสาย พ่อเอาไปฝากพระกุฏิไหนก็ต้องสังกัดเด็กวัดกุฏินั้น โชคไม่ดีนักที่ผมถึงหน้าไม่ดีแต่ก็ไม่ได้เกิดมาขี้ริ้วขี้เหร่จนเกินไป ประจวบกับรูปร่างนักกีฬาที่ดูแลเอาใจใส่มาเป็นอย่างดี ร้ายไปกว่านั้น หัวหน้าสายผมเป็นชายประเภทพิเศษ หลังจากออกเดินบิณฑ์ตามหลวงพี่ได้แค่สองวัน หัวหน้าสายก็เรียกผมเข้าไปพบเป็นการส่วนตัว


เด็กบ้านนอกอย่างผมจะมารังแกกันนั้นไม่ได้หรอกครับ ผมไม่ยอม กระทั่งผู้หญิงยังไม่เคยให้แตะเนื้อต้องตัว ประสาอะไรกับผู้ชาย ก็ต่อยคว่ำเอาเท่านั้นเอง เมื่อไม่ได้ด้วยเล่ห์ หัวหน้าสายก็หาเรื่องกล่าวหาว่าผมเป็นขโมย ด้วยปากแบบนั้นผมก็รู้แล้วว่าผมอยู่วัดนี้ต่อไปอีกไม่ได้ ผมเก็บเสื้อผ้า ลาพระประธานในโบสถ์แล้วก็เดินจากมา จุดหมายคือคุรุสภาที่พักครู ผมเคยมาค้างกับพ่อครั้งนึงก็เลยรู้ทางหนีทีไล่ที่จะเอาตัวรอดได้ แม้ว่าที่พักรวม (คล้ายๆ โรงนอนทหาร คือจะมีเตียงเรียงต่อ ๆ กัน และมีตู้เล็ก ๆ ให้เก็บของ) ค้างคืนนึงก็แค่สามสิบบาท แต่ผมไม่มีบัตรสมาชิก และที่สำคัญคือผมไม่มีเงินพอที่จะพักได้ บรรดาครูทั้งหลายก็มีเยอะแยะหมุนเวียนเข้ามาพัก ยามจำได้ไม่หมดหรอกผมคิด


กลางคืนผมจะนั่งอ่านหนังสือที่ระเบียง จนถึงเช้าบรรดาครูทั้งหลายบ้างก็ต้องไปประชุม บ้างก็ทำธุระ คราวนี้เตียงก็จะว่าง ผมก็จะสวมรอยเข้าไปนอน แต่หูก็จะคอยฟังเสียงคนทำความสะอาด ซึ่งจะทำเป็นเวลา พอผมทำมาใกล้ถึงห้องที่ผมนอน ผมก็จะลุกไปอาบน้ำอาบท่า รอจนแน่ใจว่าคนทำความสะอาดไปแล้วก็จะกลับมานอนต่อจนบ่ายก็จะรีบลุก เผื่อเจ้าของที่กลับมา หรือมีคนใหม่เข้ามาแทน


ตกเย็นก็ไปกินข้าวขาหมูข้างกระทรวงศึกษา ฯ ที่อยู่ถัดไปแม้รสชาติจะไม่ดีนัก แต่ข้าวของเขาเยอะดี ต้องเอาปริมาณเข้าว่า เนื่องด้วยมีเงินกินข้าวแค่วันละมื้อ กลางคืนหิวก็มีน้ำเย็นใส่ถังที่เขาเรียกว่าน้ำบุ๋ง กดกินได้ตลอดซึ่งเป็นของส่วนกลาง (คุรุสภาล่มจมก็เพราะผมนี่แหละ นอกจากไม่จ่ายค่าที่พัก ยังกินน้ำฟรีไปอีกหลายสิบลิตร)


ด้วยสถานการณ์ที่บีบบังคับให้อ่านหนังสือขนาดนี้เอง ผมถึงผ่านวิชาการได้ไม่ยากเย็นนัก ส่วนเรื่องสอบพละศึกษาผมไม่เคยห่วง เพราะผมมันเด็กบ้านนอก แข็งแรงกว่าควายเสียอีก ฉลุยหมดทุกอย่างจนกระทั่งว่ายน้ำ บ้านผมอยู่ห่างทะเลสองกิโล ก็จริง แต่ผมไม่ชอบน้ำนี่ จริงอยู่ผมไม่เถียงผมเคยโดดไปช่วยคนจมน้ำมาแล้วครั้งนึงสมัยเรียน . ห้า แต่ตอนนั้นผมจำไม่ได้ว่าโดด หรือโดนถีบลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีก็พาเด็กสาวมาถึงฝั่งเรียบร้อย และก็ได้รับโล่สดุดีจากสำนักนายก ที่ส่งมาให้ตอนวันเด็กได้ยังไงก็ไม่รู้อีกนั่นแหละเลยคิดไปเองว่าเราว่ายน้ำเป็น กางเกงว่ายน้ำใหม่เอี่ยมซื้อใหม่แกะกล่องประเดิมครั้งแรกด้วยการสอบเข้าเป็นนักเรียนนายร้อย (ตอนนั้นเข้าใจว่าเป็นนักเรียนนายร้อย แต่ที่จริงทหารอากาศเขาจะเรียกนักเรียนนายเรืออากาศ ในขณะที่ทหารเรือก็จะเรียกว่านักเรียนนายเรือ) ท่ามกลางเสียงเชียร์จากผู้ปกครองที่เข้ามาลุ้นลูกหลานตัวเอง ขณะที่ลูกหลานตัวเองยังไม่ถึงคิวเชือดก็เชียร์คนอื่นไปพลาง ๆ


ผมก็ไม่อาภัพเสียงเชียร์ซึ่งจะดูกระหึ่ม และก็ได้รับการคาดเดาว่าน่าจะเข้าแป้นเป็นอันดับแรก ๆ นี่ผมก็มั่นใจเพราะรูปร่างผมก็ให้อยู่ ผมขึ้นไปยืนบนบอร์ดเลียนแบบคนข้าง ๆ ทำท่าทางให้ดูใกล้เคียงคนอื่น ๆ คิดในใจหมู ๆ สิ้นเสียงปรี๊ด ผมกระโดดถีบตัวอย่างแรง


ป๊าบ! เสียงดังสนั่นก่อนที่ผมจะจมลงไปใต้น้ำ บุ๋ง ๆ ผมสำลักค็อกแค๊ก ก่อนจะลอยขึ้นมาตาลีตาเหลือกหายใจ และก่อนที่จมไปอีกรอบ พระเจ้า ! ฟ้าประทานฟางสีฟ้ามาให้ใกล้มือ(ลู่ทางว่าย) ผมรีบคว้าเอาไว้ ก่อนจะสาวมันสุดชีวิต


ผมรู้ว่าสาวมันเร็วมาก แม้แต่ลิงศาลพระกาฬเมืองลพบุรียังอาจต้องอายผม เสียงหัวเราะบนฝั่งผมไม่ได้สนใจหรอกครับ ผมรู้แต่ว่าผมต้องไปให้ถึงอีกฟาก และต้องเร็วที่สุด ผมไม่ใช่คนสุดท้ายที่ถึงฝั่ง แต่การสาวลู่ก็ทำให้ผมนั่งรถไฟกลับบ้านคอตกอีกครั้ง


ที่บ้านพ่อกับแม่ยิ้มแฉ่งคอยรับอยู่ ไม่เป็นไรลูก ลูกทำดีที่สุดแล้ว


คำพูดกับสีหน้าไม่ได้ไปด้วยกันเลย ผมได้แต่ยิ้มตอบแม่ ในใจก็นึกว่าเหมือนปีที่แล้วเปี๊ยบเลย แม่เราน่าจะหามุขใหม่ได้แล้วนะ แล้วผมก็ไม่ได้ขึ้นมาดูผลสอบ ใครจะรู้ พ่อที่บอกว่าจะไปธุระต่างจังหวัดจะแอบไปดูผลสอบให้ผม วันที่ท่านกลับมา ท่านบอกแต่เพียงว่า เก็บเสื้อผ้าซิ เตรียมตัวไปสอบสัมภาษณ์รอบสุดท้าย


ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ผมผ่านได้รับการคัดเลือกจนได้ ตอนแรกผมก็คิดไปว่าสงสัยพ่อจะแอบยัดเงินแบบที่เขาเล่าลือกัน เวลาที่ใครสอบรอบสองรอบสามไม่ได้ แล้วบอกว่าเงินไม่ถึง แต่พอมองหน้าพ่อคิดถึงความตรงเป็นไม้บรรทัดเหล็กแล้ว ผมรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้


จนกระทั่งวันเข้าไปรายงานตัว เจอเพื่อนบางคนที่สายตาสั้น บางคนทดสอบวิ่งเวลาไม่ผ่าน ซึ่งก็เห็น ๆ กันอยู่ในวันสอบ ต่างก็มารายงานตัวอยู่หลายคน พลอากาศตรีศาสตราจารย์ด็อกเตอร์แก้ว หัวหน้ากองการศึกษาในสมัยนั้น เป็นผู้ไขคำตอบนี้ ในวันปฐมนิเทศ


กองทัพอากาศ ไม่ได้ต้องการแต่เพียงนักบินเราต้องการบุคลากรที่เหมาะสมในด้านอื่นๆด้วย เราจึงคัดผู้ที่มีความสามารถด้านอื่นที่ทดแทนกันได้เพื่อมาเป็นนักวิชาการ นักวิจัย และเจ้าหน้าที่ในส่วนอื่น ๆ ให้กับกองทัพ


ความคลางแคลงใจทั้งหมดที่มี จึงหมดไป ถึงผมจะเป็นลูกหลงหรือลูกติดใครมาวันนี้ผมก็เข้ามายังที่นี่แล้ว เข้ามาด้วยความภาคภูมิใจ