2552-04-30

ปล่อยหลอก

สำหรับนักเรียนทหาร หลังจากก้าวเท้าเข้ามา ณ ที่แห่งนี้ ระเบียบชีวิตของทุกคนจะถูกนำมาจัดระบบใหม่ ตั้งแต่หัวจรดเท้า บุคลิกเดิมของแต่ละคนจะถูกโยนกองทิ้งไว้หน้าโรงเรียน ต่างต้องมาเรียนรู้กันใหม่ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนกระทั่งปิดตาหลับ ทุกนาที ทุกย่างก้าว ทุกมุมมอง ทุกสรรพสิ่งที่ผ่านเข้ามาในโสตประสาทรับรู้ทั้งมวล ล้วนต้องผ่านการฝึก อากัปกิริยาอาการ สีหน้าท่าทาง การแสดงความรู้สึก ...กระทั่งหายใจ...ต้องฝึก ...ฝึก...ฝึก...แล้วก็ฝึก นักเรียนทหารจะต้องควบคุมสติตัวเองได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงในทุกๆ สภาพการณ์...นั่นคือจุดหมายปลายทางที่ถูกกำหนดไว้

ตีห้ายี่สิบ เสียงแตรปลุกดังผ่านระบบกระจายเสียง นักเรียนเตรียมทหารปีหนึ่งผุดลุกขึ้นจากเตียง เปลี่ยนชุดนอนเป็นชุดพละ (ที่ได้เตรียมเอาไว้ตั้งแต่ก่อนนอน) และเพียงเข็มวินาทีขยับหมุนได้ครึ่งรอบ กว่าครึ่งกองพันก็หลุดออกจากบันไดตึก พร้อมเข้าแถว ในขณะที่บางส่วนยังมือสั่นเก็บที่นอนหมอนผ้าห่มไม่เสร็จ (พวกไม่โผหรือพวกที่ไม่ได้แอบเตรียมไว้ล่วงหน้า) รองเท้าถุงเท้าพละคว้ามาก่อน ค่อยหาทางใส่เอาทีหลัง... จะผิดข้างถูกข้างช่างมันเถอะ


“10 9 8...3 2 1 หมอบ ! นอนหงาย ดันขึ้นมาหลายท่านอาจนึกภาพไม่ออก เอาง่ายๆ ก็คือ ท่าสะพานโค้งนั่นเองครับ


หอยทากคลานถึงเชียงใหม่แล้ว เมื่อไหร่จะจัดแถวเสร็จ ชักช้าอย่างนี้จะไปทำอะไรกิน เอ้า ! ใช้มือดันดีๆ ไม่ชอบใช่มั้ย หัวปัก มือกอดอก อย่าให้เห็นอู้ ไม่งั้นเจอเราแน่คำว่า เจอเราแน่ เป็นอีกคำหนึ่งที่น่าสะพรึงกลัวของพวกเรา ซึ่งมีความหมายว่าอาจถูกแยกไป ถูกทำโทษเดี่ยวตัวต่อตัว หรือเป็นกลุ่มเล็กๆ หรือก็คือ จะเหนื่อยขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่านัก จึงเป็นอะไรที่ใช้ขู่พวกเราได้ดี


...แม่ง หอยทากบ้านเพ่... หรือไงคลานไวขนาดนั้น ได้แต่คิดในใจ มองดูหน้าเพื่อนซ้ายขวาที่ตีลังกาหัวปักตาเหลือกอยู่ ก็คงคิดไม่ต่างกัน บรรดาสัตว์เลื้อยคลานสี่เท้าลักษณะคล้ายน้องชายจระเข้ออกมาวิ่งเพ่นพ่านกลาดเกลื่อนในความเงียบ ไม่มีแม้เสียงพึมพำ เพราะต่างรู้ดีว่า แม้เสียงหายใจที่ฟืดฟาด ก็อาจทำให้ชีวิตเลวร้ายไปว่านี้


เอ้า! อู้ๆ อย่างนี้ ไม่อยากวิ่งออกกำลังใช่มั๊ย

นับหนึ่งถึงสองร้อยคนนึง

สิ้นเสียงสั่ง หลายคนรีบนับเสียงดังลั่น ก่อนจะยกให้คนที่เสียงดังที่สุดนับต่อไปจนจบ (เพราะรู้ตัวเองว่ายิ่งนับยิ่งเหนื่อย) หายใจไม่ทัน เลยให้เพื่อนนับดีกว่า...


“ A ถึง Z“

ยังไม่มีปัญหา...ไม่ยาก


“Z ถึง A “

หลายคนทรุดไปแล้ว

แต่ก็ยังมีต้นเสียงที่เตี๊ยมกันมาอย่างดี ท่องไปได้จนจบด้วยความรวดเร็ว...พวกเราทิ้งร่างลงไปอย่างหมดแรง


ใครสั่งให้เอาลง ดันขึ้นมา แค่นี้อย่ามาทำสำออย ไอ้พวกลูกแหง่


...ไอ้คูเพื่อนซี้ทำหน้างงๆ แม่มันดำนาอยู่บ้านคงสำลักข้าวกับน้ำพริกเป็นแน่ หากได้ยินประโยคนี้เข้า...


บรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความเห็นแย้งที่แตกต่าง ครอบคลุมพวกเราอยู่ทุกวี่วัน... เวลานอกรั้วพระรามสี่อาจผ่านไปเพียงสองอาทิตย์ แต่เวลาข้างในนรกอันเดือดระอุนั้น นานจนเต่าตายไปแล้วเกิดใหม่มาตายได้อีกหลายรอบ


เช้าแรกของอาทิตย์นี้ มีข่าวดีแว่วเข้าหูมาว่า อาทิตย์นี้จะเป็นอาทิตย์แรกที่ปล่อยกลับบ้าน ไม่ว่ามันจะเป็นข่าวลวงหรือไม่ กำลังใจที่แทบไม่เหลืออยู่ก็กลับมีขึ้นอย่างเต็มเปี่ยม แรกๆ พวกเราต่างก็ไม่เชื่อ ยังสงสัยว่าเป็นแค่สถานการณ์ที่สร้างขึ้น แม้นายทหารปกครองจะออกมายืนยันและปรามว่าอย่าหลงลำพอง เพราะจะมีแค่บางส่วนที่ไม่ทำความผิดเท่านั้นที่จะได้ออกไป...เราก็ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ส่วนเพื่อนบางคนก็บอกว่าเขาหลอกอย่างนี้ทุกรุ่นพี่มันบอกมา แต่ผมก็เห็นมันเตรียมเก็บกระเป๋ากลับบ้านก่อนเพื่อนเลย พอถามมัน มันก็บอกว่าเตรียมไว้ไม่เสียหลาย...ฮ่วย!


จนกระทั่งวันพฤหัสไปเรียนที่ฝั่งกองการศึกษา อาจารย์ทุกต่างแสดงความยินดีกับการได้ปล่อยกลับบ้านครั้งแรก เราจึงมั่นใจว่าที่นายทหารปกครองพูดเป็นเรื่องจริงที่จะเกิดขึ้นในเย็นวันศุกร์ที่ใกล้เข้ามา อาจารย์ท่านก็ยิ้มแสดงความยินดีอย่างใสซื่อบริสุทธิ์ ราวกับท่านเคยสอนที่ครั้งแรก


สำหรับนักเรียนทหาร ฝั่งกองการศึกษา เป็นเสมือนที่พึ่งพิงทั้งกายและใจ เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรที่คอยปกป้องเราจากบรรดารุ่นพี่นักเรียนบังคับบัญชา และนายทหารปกครอง ที่ต่างเกรงใจอาจารย์ไม่เข้ามายุ่มย่ามกับพวกเรามากนัก อาจารย์ทุกคนก็เปรียบเหมือนพ่อพระแม่พระอันเป็นที่รักยิ่ง คำพูดทุกคำของท่านจึงเชื่อถือได้... ทุกคนจึงตั้งตารอคอยวันศุกร์และระมัดระวังตัวเอง ที่จะไม่ทำผิดในเรื่องใดๆ


แสงตะวันยามเช้ารอคอยเราอยู่ข้างนอก... คืนนั้น ทุกคนหลับเหงื่อท่วมกายแต่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม อาทิตย์ยังไม่แตะขอบฟ้าเวลาเช้าของนักเรียนเตรียมทหารก็มาเยือนอีกครั้ง


หมอบ! เตรียมตัวตะกายตึก ... 50 ยกสงสัยล่ะซิ ว่าท่ามันเป็นอย่างไรไอ้ตะกายตึกเนี่ย... ลองนึกภาพมนุษย์แมงมุมที่กำลังไต่ตึกระฟ้าในโปสเตอร์โฆษณา แขนสองข้างยึดผนังอาคาร ขาข้างหนึ่งเหยียดตรงอีกข้างงอออกทางข้างหัวเข่าแทบชิดอก เพื่อยันตัวให้คืบคลานขึ้นไป ผิดแต่ว่าไอ้ตึกที่มนุษย์แมงมุมไต่ ก็คือ พื้นดินและเราทำอยู่กับที่ไม่มีการเคลื่อนไปข้างหน้า บางคนเรียกท่านี้ว่า ซาลามานเดอร์ พี่บางคนก็เรียกว่าท่าแย้ แต่พวกเราคนปฏิบัติพร้อมใจที่จะเรียกมันว่า ท่าเหี้ย... ผมทำไปยิ้มไป ก็วันนี้จะได้กลับบ้านแล้วนี่ กำลังใจจึงท่วมท้น เรียวแรงพญาควายที่เก็บซ่อนไว้ถูกนำมาใช้โดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย


ยิ้มหาสวรรค์วิมานอะไร มีความสุขมากใช่มั๊ย ลุก!”

เสียงประกาศิตดังอยู่เหนือศรีษะข้างหน้าผม ผมทะลึ่งพรวดขึ้นยืนเท่ห์ ก่อนจะทิ้งฮวบลงไปหมอบตามเสียงสั่ง


หมอบ นอนหงาย ดันขึ้นมา ตะกายตึก 50 ยก

อย่าเพิ่งงงนี่เป็นการประยุกต์ท่าลงโทษสองท่าเข้าด้วยกัน เพื่อให้มันพิสดารทุลักทุเลและทรมานยิ่งขึ้น แม้ขาและแขนสองข้างของผมจะสั่นระริก ซึ่งไม่แน่ใจว่า คือ

อาการดีใจจนเนื้อเต้นที่จะได้กลับบ้านครั้งแรก หรือเป็นผลข้างเคียงจากท่าแบกโลกตะกายตึก แต่ผมก็มีความสุขกับการรอคอย


เย็นนั้นนักเรียนบังคับบัญชา ดูจะใจดีเป็นพิเศษ ให้เราอาบน้ำนานกว่าปกติ พวกเราจึงได้ถูสบู่ตัวหอมกันถ้วนทั่ว... หนำซ้ำยังช่วยจัดโน่นจัดนี่ ดูแลความเรียบร้อยและความประณีตในการแต่งกายของพวกเราทีละคน เรียกว่าฉากนี้เล่นเอาซึ้งน้ำตาไหล ชุดนักเรียนใหม่ถูกนำมาใส่สำหรับการปล่อยกลับบ้านครั้งแรก เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาว หัวเข็มขัดทอง คาดทับกางเกงขาสั้นสีดำ ถุงเท้าดำดึงสูงครึ่งน่อง ประกอบกับรองเท้าหนังหุ้มส้นสีดำมัน ยิ่งคนใส่ตัวดำเพราะแดดเผา ผมสั้นกว่าหัวก้านไม้ขีด หน้าตาอมทุกข์ไว้ทั้งโลก ถือกระเป๋าเจมส์บอนด์ด้วยมือซ้าย มือขวากำพอหลวมๆ ดูไกลๆ นึกว่า...กำนัน และชุดเดียวกันนั้น ถ้าไปเดินสยาม... พวกเรียกคนบ้า


การตรวจเครื่องแต่งกายผ่านไปอย่างเรียบร้อย แถวกองพันนักเรียนใหม่ตั้งขบวนเดินผ่านตึกนอนไปหน้าประตูโรงเรียน พี่ ๆ สองข้างตึกตะโกนแสดงความยินดี บ้างก็อวยพร ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ กลับมาปลอดภัย พร้อมกับหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน จนเราชักไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกันว่าจริงหรือหลอก บ้างก็ขู่ว่าเข้ามาวันอาทิตย์เจอกันแน่... แต่เวลานั้น เราได้แต่ยิ้มในหน้าอย่างมีความสุข จะแสดงอาการลิงโลดมากกว่านั้น ก็เห็นจะโดนดีฐานยิ้มในแถว


หน้าประตูโรงเรียน คนคุมแถวนำกล่าวปฏิญาณลาเสด็จปู่รัชกาลที่ห้า ทุกคนปฏิญาณอย่างเข้มแข็ง...เสียงดังสะเทือนไปทั่วถนนพระรามสี่ คนสองฟากถนนที่เดินผ่านสะดุ้งและหยุดยืนดู... เรานักเรียนใหม่กำลังจะกลับบ้านแล้ว


สิ้นเสียงคำปฏิญาณ นักเรียนบังคับบัญชาสั่งเลิกแถวไม่ทันที่แถวจะแตกกระจายออก รถในราชการทหารวิ่งด้วยความเร็วสกัดขวางหน้าพวกเราไว้ นายทหารปกครองน่าตาเคร่งเครียดเหงื่อซึมเต็มใบหน้า เปิดประตูออกมาพร้อมโทรโข่งสนามหนึ่งตัว (ทั้งที่เสียงเขาปกติก็ดังปานฟ้าผ่า) เขาประกาศด้วยเสียงที่สะกดทุกคนนิ่งเป็นปลาตาย


นักเรียนใหม่ทุกคนทราบ ขณะนี้เกิดความไม่สงบ รัฐบาลประกาศภาวะฉุกเฉิน ให้ทหารทุกหน่วยเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น เปลี่ยนรหัสฉุกเฉินเป็นสีส้ม คงกำลังในหน่วยร้อยเปอร์เซ็นต์ ..นักเรียนใหม่ตั้งแถวกลับตึก


คนข้างนอกรั้วโรงเรียนทำหน้าเหรอหรา แต่ไม่บอกก็รู้ นี่มันมุขชัดๆ แข้งขาเราอ่อนเพลีย เวลาที่สู้รอคอยมาตลอดทั้งอาทิตย์ปลิวหายเหมือนใบไม้แห้งที่หลุดจากกิ่ง ถ้าเป็นฉากในหนังการ์ตูน ก็จะเป็นตอนที่พระอาทิตย์ดวงสีส้มกำลังตกดิน ลมพัดกระทบหน้าพระเอกจนผมปลิวไสว จะผิดกันก็แต่... พระเอกตัวจริงหัวล้าน และมีน้ำตาอาบแก้ม


แถวทหารที่เศร้าสร้อยเดินซึมกระทือกลับตึกนอนอีกครั้ง พี่ๆ สองข้างตึกโห่และประชดเสียดสีให้เจ็บปวด ต่างไปจากตอนเดินออกเหมือนคนละคน จนเรายังสงสัยว่าใช่พี่ๆ กลุ่มเดิมหรือเปล่า... บ้างเห็นพวกเราเดินน้ำตานองหน้ามา ก็หัวเราะกันท้องแข็งดิ้นพราดๆ อยู่บนขอบระเบียง มิวายซ้ำเติมให้เจ็บใจยิ่งขึ้น... สารพัดถ้อยคำพรั่งพรูให้เจ็บแสบ ...น้ำตาผมเริ่มซึมแล้ว


เย็นนั้นข้าวโรงลี้ยงเหลือทิ้งจนหมายิ้ม ต่างกินกันไม่ลง ...ก้อนแข็งๆ อุดตันอยู่เต็มลำคอ อัดอั้นเกินกว่าจะบรรยายความรู้สึกข้างในได้...อาทิตย์ที่ขมขื่นกลับมาอีกครั้ง



พวกเราลืมที่จะฝัน และไม่คิดฝากความหวังไว้กับสิ่งใดใดอีก

ไม่มีความคิดเห็น: