2552-05-02

ผมไม่ใช่นายร้อย



ในบรรดานักเรียนเหล่าทั้งทหารและตำรวจ ผมว่าเป็นนักเรียนนายเรืออากาศนี่อาภัพที่สุดครับ ไปที่ไหนๆ ก็ไม่มีใครรู้จัก พากันเรียกนายร้อยตามที่คุ้นหูคุ้นปากกัน นักเรียนนายร้อย จปร. กับนักเรียนนายร้อยตำรวจนั้น เขาไม่มีปัญหา เพราะชื่อก็บอกอยู่ทนโท่ว่านายร้อย ส่วนนักเรียนนายเรือก็ไม่ถือว่าอาภัพเสียทีเดียว อย่างน้อยในเขตทหารอากาศเอง ก็ยังเรียกพวกผมว่านักเรียนนายเรือ... อากาศที่ต่อท้ายไม่ทราบตกท่อในกรุงเทพหายไปเสียแต่เมื่อไหร่ข้าราชการทัพฟ้าเวลาซุบซิบเรื่องนายทหารหนุ่มบรรจุใหม่ ถามไถ่ว่าจบจากที่ไหน ก็จะได้รับคำตอบว่า...



มาดเท่ห์ๆ อย่างนี้จะจบจากที่ไหนล่ะ ถ้าไม่ใช่โรงเรียนนายเรือ” (เท่ห์ๆ น่ะผมใส่เองครับ) สรุปว่าโรงเรียนและนักเรียนนายเรืออากาศ เป็นที่รู้จักและใช้กันจริงในหมู่พวกเราในรั้วสถาบันเท่านั้น


ช่วงปิดภาคการศึกษา เพื่อนบางกลุ่มกลับไปแนะแนวน้องๆ ที่โรงเรียนเก่า (ก็ยังสงสัยว่าทำไมไม่หาตังค์ทาสีใหม่) กี่ครั้ง กี่หน กี่โรงเรียน จะหาคนเรียกนักเรียนนายเรืออากาศ...ไม่มีหรอกครับ จะบอกกี่ครั้งๆก็ยังนายร้อยอยู่นั่นเอง รุ่นน้องผู้หญิงนี่ผมไม่ว่า อภัยให้เพราะความน่ารัก แต่รุ่นน้องผู้ชายนี่ซิ จะไปสอบเข้าแท้ๆ ยังไม่รู้จักชื่อโรงเรียน...เหมือนสมัยผมมาสอบเข้าไม่มีผิด...


อย่ากระนั้นเลย กระทั่งพ่อแม่ของเพื่อนๆ หลายคนตามบ้านนอก (ไม่เกี่ยวกับผม...ผมเด็กเมือง)ก็ไม่เคยจำชื่อโรงเรียนได้สักที ใครถามก็บอกแต่ว่าเรียนทหารอยู่กรุงเทพ เขาถามต่อว่าใช่นายร้อยหรือเปล่า ก็รับสมอ้างไปกับเขา... พ่อแม่ของโทโล่ก็ตกอยู่ในสภาพนี้เหมือนกัน และตั้งแต่วันที่รับสมอ้างว่าลูกเรียนนายร้อย ทั้งเพื่อนพ่อเพื่อนแม่ คนรู้จัก ต่างพาลูกสาวมาผูกไมตรี เรียกว่าครึ่งหมู่บ้านเห็นจะได้ หน้าตา โทโล่เพื่อนผมก็ไม่เคยเห็น แต่ไม่รู้ล่ะขอดองกันไว้ก่อน (บ้านผมเรียกดองในความหมายว่า...เอาลูกสาวลูกชายของแต่ละฝ่ายมาเกี่ยวดอง มั่นหมายจองตัวกันไว้ ไม่ใช่หมายความว่า


ให้ตัดอะไรของโทโล่เพื่อนผมไปดอง..เป็นอย่างนั้นก็แย่ซิคุณถึงจะเป็นปลายนิ้วก้อยก็เถอะ)


ช่วงสงกรานต์ปีการศึกษาสุดท้าย ก่อนที่โทโล่จะจบจากโรงเรียนนายเรืออากาศ โทโล่กลับบ้านตามนัดหมายดูตัวกับลูกสาวเจ้าของร้านทำผมสิบแห่งในอำเภอ ...โอ! แม่เจ้าโว้ย เธอรวยมากทันทีที่โทโล่ถึงบ้านและสองแม่ลูกรู้ข่าว ทั้งสองก็รีบแวะมาหา...ประหนึ่งว่าบังเอิ๊น บังเอิญเดินผ่านมาธุระแถวนั้นพอดี


...ตาจ้องตา...แล้วบุพเพสันนิวาสก็อาละวาดเอากับทั้งคู่ คุยกันไปได้สี่ห้านาที แม่ของสาวน้อยที่นั่งเอียงกายบิดไปบิดมาจนเอวเคล็ดก็ถามถึงชีวิตนักเรียนนายร้อย โทโล่ของเราก็พาซื่อ ผมไม่ใช่นักเรียนนายร้อยหรอกครับ ผมเรียนอยู่โรงเรียนนายเรืออากาศแถวดอนเมืองน่ะครับ


คำว่า...ผมไม่ใช่นักเรียนนายร้อยดูจะเชือดเฉือนจิตใจคนฟังไม่น้อย สองแม่ลูกถึงกับสีหน้าเปลี่ยน...แต่ยังมีมารยาทพอที่จะดำเนินการสนทนาต่อ


ก็ยังดีนะ...ยังไงจบมาก็รับราชการ สมัยนี้งานมั่นคงหายากจะตาย ได้อะไรก็ต้องเอาไว้ก่อน นายร้อยน่ะ ใคร ๆ ก็รู้ว่าสอบเข้ายาก ปีนึงรับไม่กี่คน บางจังหวัดสิบปีแล้วยังไม่มีลูกใครสอบได้...ถึงจะไม่ใช่นายร้อยก็เป็นทหาร มียศ มีเกียรติ... ตั้งใจเรียนเข้านะลูก...น้ามีธุระต้องกลับก่อน





แล้วสองแม่ลูกก็ทิ้งให้โทโล่นั่งเป็นสากกะเบือ...เก็บคำอธิบายไว้ในรอยยิ้ม...บุพเพที่อาละวาดหายไปกับ BMW ป้ายแดง


...................................................






จากวันนั้นถึงวันนี้ สากกะเบือก็ยังคงเป็นสากกะเบือ...ผิดก็แต่ว่าสากกะเบืออันนั้นร่วงโรยตามกาลไปโขอยู่


...แล้วนี่คุณจะไม่คิดเก็บไปตำน้ำพริกที่บ้านบ้างเหรอ....ใจดำจัง

1 ความคิดเห็น:

Unknown กล่าวว่า...

55555 ผมชอบบทความนี้นะ เข้าใจนักเรียนนายเรืออากาศเลย แต่ช่างเขาเถอะครับ คนมันตาไม่ถึง พูดยังไงเค้าก็คงไม่เชื่อ เก็บกระบี่ที่มีค่าว่าให้คนที่เค้าชื่นชมเราจริงๆดีกว่าครับ