2552-05-02

ฝึก ฝึก ฝึก



หน้าเฉย จนชาชิน

เหงื่อไหลริน ไม่รู้สึก

ทหารแน่นในสำนึก

พรุ่งนี้ฝึก...ต้องรีบลา



เป็นธรรมดาของชีวิตนักเรียนทหาร นอกจากต้องคร่ำเคร่งในการเรียน พวกเรายังต้องฝึกวิชาทหาร ซึ่งสำหรับชั้นปีที่หนึ่งและสองแล้ว นั่นเป็นเวลาสบายๆ ของพวกเขา ที่จะได้หลุดไปจากโลกของหัวหน้า นักเรียนบังคับบัญชา รุ่นพี่ และนายทหารปกครอง


แต่สำหรับพี่ๆ ชั้นสาม ชั้นสี่ โดยเฉพาะชั้นปีที่ห้า มันช่างเป็นกิจกรรมที่น่าเบื่อมาก ฝึกซ้ำๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฝึกแบบเดิมทุกวัน...ทุกเดือน...ทั้งปี...ปีแล้วปีเล่า ใครบ้างจะไม่เบื่อ พวกที่คร่ำเคร่งกับเอกสารวิจัย จึงพยายามที่จะลากันในบ่ายวันพฤหัสแทบทุกอาทิตย์ แต่ใช่ทุกคนจะสมหวัง พวกที่ผิดหวังจึงต้องนั่งรอคอยฟ้าฝน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูฝน หวังว่าฟ้าฝนจะเป็นใจเทกระหน่ำลงมาตอนบ่ายสาม ซึ่งปกติบ่ายสามโมงครึ่งของวันพฤหัสจะเป็นวันฝึกวิชาทหารของพวกเรา


ฝึกวิชาทหารในโรงเรียน หลักๆ ก็แบ่งออกเป็นการฝึกบุคคลท่ามือเปล่าและการฝึกท่าอาวุธที่ประกอบกระบี่หรือปืนเข้าไป ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการฝึกแบบไหน ล้วนน่าเบื่อทั้งสิ้น...ฝึกบุคคลท่ามือเปล่าก็เช่นกัน ท่าวันทยหัตถ์ ท่าวิ่ง ท่าเดิน ซ้ายหัน ขวาหัน กลับหลังหันไปตามเรื่อง...ลองเอานักศึกษามาฝึกซ้ายหัน ขวาหันทุกๆ วันดู ผมว่าไม่ต้องถึงปีหรอก ฝึกซ้ำๆ สักสองเดือน ก็เห็นจะคลั่งตายกันไปเสียก่อน ...เป็นช่วงสภาวะที่กดดันทางไอคิวจนหัวแทบระเบิด... ไม่เข้าใจว่าเสียงเหล็กชิดเท้าจากรองเท้ากว่าร้อยคู่ต้องดังได้เพียงกริ๊กเดียว ...มันต้องสำคัญมาก เราถึงต้องฝึกซ้ำซากและจริงจังถึงขนาดนี้ ...มันคงชี้ขาดผลแพ้ชนะของสงครามได้เลยทีเดียว ...พวกเราคิด


การฝึกท่าอาวุธ แม้ไม่น่าเบื่อเหมือนการฝึกบุคคลท่ามือเปล่า แต่กลับเหนื่อยกว่าหลายเท่า แค่จับเวลาเบิกปืน พาแถววิ่งก่อนฝึกก็เล่นเอาแขนล้าขาสั่น ยังต้องมายืน


วันทยาวุธจับเวลาถือปืนด้วยมือเดียว ฝึกความอดทน ทดสอบความแข็งแกร่งจนตัวแอ่นเป็นกุ้งไปอีกหลายคน แต่เรื่องนี้ก็ได้สร้างชื่อเสียงต่อหน้าพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินี เมื่อครั้งสวนสนามราชวัลลภเป็นที่ภาคภูมิใจกันมาแล้ว


ครั้งนั้น ปลาวาฬหนุ่มร่างสูงตัวดำ หน้าตาคล้ายปลาวาฬอย่างที่เพื่อนเรียก เขาเป็นพลปืนสวนสนามแถวหน้า ซึ่งเป็นแถวที่สำคัญยิ่ง เนื่องด้วยแถวกองพันนักเรียนนายเรืออากาศรักษาพระองค์แทบจะอยู่ตรงหน้าพระพักตร์พระองค์ท่าน จะเยื้องมาทางด้านซ้ายก็เพียงเล็กน้อย


ทุกครั้งทุกวันของการซ้อม ปลาวาฬก็ไม่มีปัญหาจะเป็นลมเหมือนใครเขา ...แต่วันจริงนี่ซิ


วันนั้นอากาศร้อนเป็นปกติ ทุกคนสวมหมวกพู่ทรงสูงแสนหนักที่รัดศรีษะจนปวดตุ๊บตั้งแต่ขมับไปถึงท้ายทอย กองร้อยรักษาพระองค์แต่ละส่วน ต่างตั้งแถวรอเวลาในพื้นที่บริเวณพิธีด้วยท่าตรงประกอบอาวุธ ต่างยืนกันตัวแข็งทื่อเหมือนรูปปั้นไร้ชีวิตหลายชั่วโมงก่อนพระองค์ท่านเสด็จและกำหนดพิธีจะเริ่ม


และเมื่อลำดับพิธีดำเนินไปจนเกือบเสร็จสิ้นถึงขั้นตอนส่งเสด็จ พวกเราต้องถวายความเคารพด้วยท่าวันทยาวุธที่ยาวนานอีกครั้ง


...นาน...นาน...นานจนกระทั่ง ...โอ๊ก! เสียงดังมาจากแถวหน้า ไม่มีใครหันไปมอง ทุกคนถูกฝึกให้นิ่ง นิ่งทุกสภาวการณ์ มีเพียงสามสี่คนข้างตัวปลาวาฬที่เหล่ด้วยหางตา สำรวจว่ามีอะไรเกิดขึ้น ...แต่มุมมองที่จำกัด ก็บอกได้แค่ว่ามีอาหารหลายชนิดของมื้อเช้าทะเลาะเบาะแว้งกับกระเพาะและลำไส้ ทะลักไหลมากองท่วมรองเท้าคอมแบท และเปรอะเปื้อนกระบอกปืน เสื้อผ้า และลำคอของปลาวาฬ


...แต่ปลาวาฬยังคงยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว...เปลือกตาปลาวาฬเผยอเปิดเล็กน้อย มีเพียงตาขาวลอยอยู่และแอบซ่อนตาดำไว้อย่างมิดชิด ...แต่ปลาวาฬก็ยังนิ่ง แวบนั้นเรา


ได้เห็นรอยยิ้มน้อยๆ จากพระพักตร์พระองค์ท่าน เป็นรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยพระเตตาจนเราอิ่มเอม ใจพองและขนลุกซู่...แถวหน้าทุกคนยังไม่เคลื่อนไหว...ไม่มีสิ่งใดเคลื่อนไหว


ผ่านไปหลายนาที...


พระองค์เสด็จประทับรถยนต์พระที่นั่ง รถค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากปะรำพิธี เพลงสรรเสริญพระบารมีบรรเลงถวายพระพร


...ทันทีที่ความสนใจถูกเคลื่อนไปอีกจุดหนึ่ง เพื่อนข้างหลังกระชากปลาวาฬลงมาอีกคนเข้าเสียบแทนตำแหน่ง รวดเร็วเกินกว่าจะสังเกตเห็น


............................................


กลางแถว สองคนที่กระหนาบข้างล็อคแขนปลาวาฬไว้คนละด้าน ต่างยังแบกอาวุธในท่าเดินไว้ด้วยมือข้างเดียว สายตามุ่งมั่นมองตรงไปข้างหน้า อีกคนดึงเอาปืนของปลาวาฬไปถือ...แถวทหารเดินออกจากลานพิธีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น..แต่หากใครสักคนจะสังเกตอย่างพินิจแล้ว จะเห็นชายคนหนึ่งถูกล็อคแขน คอพับ ปลายเท้าลากครูดกับพื้นถนนไปในแถวทหารนั้น


อาทิตย์ถัดมาสาสน์จากฑูตานุทูตหลายประเทศ ทยอยส่งกันมาชื่นชมกองพันสวนสนามนักเรียนนายเรืออากาศรักษาพระองค์ และปลายอาทิตย์นั้นเอง สิ่งที่เราไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อพระราชสาสน์จากสมเด็จพระราชินีมาถึง ...ข้อความที่ท่านผู้พันอ่านให้ฟังทำเอาพวกเราซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณจนน้ำตาไหล


ปลายปีนั้นปลาวาฬก็จบปริญญาตรีรามคำแหง ที่ตัวเองแอบไปลงเรียนไว้ และไม่กี่เดือนต่อมา ปลาวาฬก็จากอ้อมอกรั้วโรงเรียนนายเรืออากาศ ไปเป็นนักบินการบินไทย ทิ้งให้เพื่อนๆ ฝ่าฟันไล่ตามความฝันในรั้วโรงเรียนกันต่ออย่างน่าสงสาร


เอาเป็นอันว่า ถ้าท่านเห็นนักบินการบินไทยตัวดำๆสูงประมาณร้อยเจ็ดสิบเจ็ด รูปร่างไม่อ้วนไม่ผอม หน้าตาปลาวาฬ ๆ คนนั้นล่ะ ปลาวาฬของพวกเรา



ไม่มีความคิดเห็น: