2552-05-02

Gang-11


ผมไม่ค่อยมีเพื่อนในวงเหล้ามากนัก ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะผมไม่ดื่มเหล้า...แต่อันที่จริงนั้นอาจไม่ใช่เหตุผล น่าจะเป็นเพราะผมเป็นตัวกินกับเสียมากกว่า เพราะผมก็กินได้เรื่อยๆ ไม่มีหยุดเหมือนพวกมันกินเหล้านั่นละ มันสั่งโซดาน้ำสอง ผมก็สั่งกับข้าวเพิ่มสองเหมือนกัน...หลังๆ พวกมันเลยไม่ค่อยมาชวนผมอีก ผมเลยต้องเป็นฝ่ายไปชวนมัน...ที่สุดพวกมันก็ตัดสินใจเลิกเหล้าไป

ตอนนี้ ผมเลยไม่มีเพื่อนกินเหล้าโดยปริยาย


สมัยนั้นเรากินเหล้ากันหนักมาก กินกันประเภทถึงไหนถึงกัน ไปไหนก็ไป กินมันทุกแห่ง ไปกันทุกที่เมากันทุกงานถึงขนาดตั้งชื่อแก็งค์แล้วไปทำหมวกมาใส่ให้ดูเป็นพวกเดียวกัน...ใครมาตี จะได้ตีถูกตัว แยกแยะได้ง่าย และตีได้ครบคน เจ็บเสมอภาคกันดี


วันที่เราไปรับหมวก เห็นตัวอักษร ELEVEN บนพื้นหมวกสีน้ำเงิน...สวยมาก

แต่เอ๊ะ! ทำไมตัวเลขข้างหมวกมันมี 001-012 หว่า นับไปนับมา 12 คน ...เหี้ยเอ๊ย!ใครตั้งชื่อ ELEVEN ว่ะ...


ไม่มีเสียงตอบ แต่ไอ้ล่ำออกสตาร์ทตัวปลิวไปแล้ว


เย็นนั้น บอดี้โกลพเลยได้ดีไซน์ใหม่ เป็นรูปยี่สิบสองตีนกลางหลังเสื้อยืดสวยหรู วางเลย์เอ้าท์ตัวอักษรง่ายๆ “From ELEVEN”


เมื่อก่อน ก่อนที่จะรวมกันได้สิบสองคน แก็งค์อีเลฟเว่นได้ชื่อว่าเป็นแก็งค์หล่อคัดเข้า(ที่ประชุมมาตัด คุณสมบัติข้อนี้ออกก็ตอนรับผมเข้าไป) แก็งค์ของเราจึงค่อนข้างเป็นที่กรี๊ดกร๊าดในหมู่สาวๆ ไปเที่ยวกันที่ไร เป็นต้องโดนรุมทึ้ง เกือบเอาตัวไม่รอดเสียทุกคราวไป...ซึ่งนั่นเราก็ภูมิใจกันมากอยู่


พออ่านทวน ถึงเห็นว่าเขียนตกไปนิดนึง แต่ไม่เป็นไรมั๊ง นิดเดียวเอง...ก็สาวๆ เหมือนกันแหละ แค่ตกประเภทสองต่อท้ายเท่านั้นเอง ฮ่า


ไอ้ล่ำเป็นลูกชายคนเล็กในบรรดาพี่น้องสองคน พี่ชายคนโตของมันเป็นผู้ชาย (พี่ชายมันจะเป็นผู้หญิงได้ไหมเนี่ย เอ!...แล้วพี่น้องสองคนมันต้องระบุคนโตคนเล็กด้วยเปล่าหว่า แต่ช่างเถอะ คิดมาก็ปวดหัว... กินเหล้าดีกว่า แฮ่)

พ่อแม่ล่ำจบโทมาจากอเมริกา กลับมาก็รับราชการประสาคนมีความรู้ สมัยนั้นคนจบนอกมันดูโก้หยอกซะเมื่อไหร่ ครั้นจะให้ทำงานเช้าฟาดผัดฟักเย็นฟาดฟักผัดนั้น ก็เห็นจะไม่สมฐานะนักเรียนนอก พ่อไอ้ล่ำก็เลยเปิดบริษัททำธุรกิจควบคู่ไปซะด้วยเลย กิจการก็ดีวันดีคืน ไม่สามวันผีสี่วันเผาเหมือนกิจการร้านข้าวแกงแม่ไอ้ดุ่ย


เนื่องจากความรวยจัดของบุพการีไอ้ล่ำ เราในฐานะกลุ่มเพื่อนสนิทแก็งค์อีเลฟเว่นจึงได้รับเชิญให้ไปเยี่ยมเยือนบ้านมันที่ขอนแก่นช่วงปิดเทอม นัยว่าจะดูว่าลูกคบเพื่อนดีหรือเปล่าทำนองนั้น ซึ่งตอนนี้ก็คงประจักษ์แจ้งไปแล้วล่ะครับ ฮ่า


บ่ายแก่ๆ ที่สถานีรถไฟดอนเมือง พวกเราเริ่มทยอยกันมาทีละคน โชคดีที่ไม่มีใครมาสาย ทั้งหมดจึงนั่งตัวเย็นเป็นน้ำแข็งบนรถไฟขบวนด่วนพิเศษจนถึงปลายทาง

ที่นั่น คนขับรถพร้อมรถตู้ปรับอากาศรอเราอยู่แล้ว ไปถึงบ้านไอ้ล่ำตอนสี่ทุ่ม ไหว้พ่อแม่มันคนละทีสองที แล้วก็หิ้วแบล็คในตู้โชว์พ่อมันโหลนึงตรงดิ่งเข้าเธคในเมือง...กระป๋ง กระเป๋า ยังกองเกลื่อนอยู่เต็มโซฟา


ห้าทุ่ม สาวๆ ในเธคกรี๊ดกันสนั่นเมื่อดีเจประกาศต้อนรับพวกเรา(ตกประเภทสองอีกแล้วครับท่าน แฮ่)


เนื่องด้วยเวลามีน้อย เธคปิดตีสอง แก้วเกิ้วเลยไม่ต้องใช้ เล่นถังน้ำแข็งนี่แหละเร็วจุใจดี

สามชั่วโมงแบล็คลิตรหมดไปห้าขวด เมายิ้มหัวทิ่มกันทุกคน ปกติพวกเรามีกินเหล้าดุๆ อยู่ก็แค่สามสี่คน ที่เหลือเป็นประเภทกินฝาเมาขวด กินเท่ๆ ไปงั้นเอง แล้วมันจะไปเหลืออะไรล่ะครับ ไอ้มาดเท่ดูดีที่เห็นในทีวีหรือตามป้ายรถเมล์นะ ตอนนี้กลายเป็นปลาดุกโดนทุบหัวดิ้นกระแด่วๆ เรียกหาขวดโซดาและยำตีนล่ะไม่ว่า


ดีที่พ่อไอ้ล่ำรอบคอบ ส่งลูกน้องมาคอยดูแลอยู่ห่างๆ ซึ่งดูหน้าโหดๆ แล้ว คงไม่ใช่คนขับรถธรรมดาๆ เพราะแค่พี่แกเดินผ่านหมาแถวนั้นก็ถึงกับฉี่ราด...เอ่อ! ก็ไม่ได้ไปราดเสาไฟฟ้าที่ไหนหรอก ก็ราดขาพี่แก นั่นแหละ

ตีสองเธคเลิก...กว่าพวกที่ยังพอมีสติจะตามเก็บศพเพื่อนๆ ที่เหลือ ตามใต้โต๊ะซอกเก้าอี้และข้างถนนลานจอดรถได้ครบ จัดแจงหามไปหลับต่อร้านข้าวต้ม กว่าจะกลับถึงบ้านก็ปาเข้าไปตีสี่ ไปถึงพวกที่เดินได้ ก็ตรงดิ่งเข้าบ้าน หาที่ว่างเฉพาะตัวนอนกันตรงนั้น...ส่วนซากศพที่เหลือ พ่อกับพี่คนขับรถรับเป็น ปอเต๊กตึ๊งหามลงกันสองคน


ตอนกินเหล้า...ใครไม่ขาวไม่หมด ไม่รักกันจริง เอ้า! หมดถัง...โห รักกันซะ ถึงไหนถึงกัน แต่พอถึงบ้าน ไหงเป็นอย่างนี้ไม่รู้



จากวันนั้นจนถึงวันนี้ พ่อไอ้ล่ำไม่เคยชวนพวกเราไปเที่ยวบ้านอีกเลย


สงสัยจะประจักษ์แจ้งแล้วว่าไอ้ล่ำคบเพื่อนดี

ไม่มีความคิดเห็น: